พพ.สัมมนาเร่งถ่ายทอดองค์ความรู้ภาคเอกชนเข้าข่ายอาคารควบคุม หวังให้ใช้เป็นแนวทางบริหารจัดการภายใน ส่งเสริมการใช้พลังงานอย่างมีประสิทธิภาพ พร้อมวางเป้าอาคารธุรกิจนอกข่ายควบคุม 1,000 ราย ลดค่าใช้จ่ายด้านพลังงานไม่น้อยกว่า 10% ของการใช้พลังงานทั้งหมด
นายยงยุทธ์ สวัสดิสวนีย์ รองอธิบดีกรมพัฒนาพลังงานทดแทนและอนุรักษ์พลังงาน (พพ.) เปิดเผยว่า พพ.ได้จัดสัมมนา “โครงการงานกำกับดูแลและส่งเสริมการอนุรักษ์พลังงานตามกฎหมายสำหรับอาคารควบคุมเอกชน” เพื่อถ่ายทอดองค์ความรู้ สร้างความเข้าใจ และข้อเสนอแนะมาตรการการจัดการพลังงานต่างๆ ให้แก่อาคารที่เข้าข่ายเป็นอาคารควบคุมทั้งขนาดเล็กและขนาดใหญ่ทั่วประเทศ เพื่อให้ภาคเอกชนได้ใช้เป็นแนวทางในการบริหารจัดการอาคารตามมาตรการต่างๆ ก่อให้เกิดการใช้พลังงานอย่างมีประสิทธิภาพ ซึ่งในการสัมมนาได้มีการบรรยายแนะนำแนวทางการดำเนินงานตามกฎหมายสำหรับอาคารควบคุม รวมถึงหลักเกณฑ์ต่างๆ โดยผู้แทน พพ. สำหรับแผนการอนุรักษ์พลังงานของ พพ.มีมาตรการที่สำคัญ 3 อย่าง คือ 1. มาตรการบังคับ 2. การสนับสนุน และ 3. การส่งเสริม ในส่วนของมาตรการบังคับใช้วัตถุประสงค์ที่สำคัญจริงๆ นอกเหนือจากการดำเนินการตามกฎหมายแล้ว คือการช่วยให้อาคารควบคุมสามารถประหยัดพลังงาน ซึ่งหมายความว่าต้นทุนของอาคารก็ลดลงด้วย
ที่ผ่านมา พพ.ได้เปิดให้กลุ่มอาคารธุรกิจต่างๆ ที่อยู่นอกข่ายการควบคุม ซึ่งเป็นกลุ่มที่มีศักยภาพในการอนุรักษ์พลังงานกว่า 1,000 รายทั่วประเทศเข้าร่วมโครงการสนับสนุนการใช้พลังงานอย่างมีประสิทธิภาพในอาคารธุรกิจ (นอกข่ายควบคุม) มีเป้าหมายลดค่าใช้จ่ายด้านพลังงานได้ไม่น้อยกว่า 10% ของการใช้พลังงานทั้งหมดในสถานประกอบการดังกล่าว เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการใช้พลังงานในกระบวนการผลิตตามมาตรการส่งเสริมการอนุรักษ์พลังงานภายในอาคารของกระทรวงพลังงาน
โครงการดังกล่าวเป็นแผนการขยายการอนุรักษ์พลังงานของ พพ.ที่มีเป้าหมายไปยังกลุ่มอาคารที่มีศักยภาพ ซึ่งปัจจุบันมีอยู่จำนวนมากที่ไม่ได้อยู่ในกลุ่มอาคารควบคุมการอนุรักษ์พลังงาน ในการดำเนินการ พพ.จะคัดเลือกโรงงานอุตสาหกรรมขนาดกลางและขนาดเล็กที่มีศักยภาพในการประหยัดพลังงานตามหลักเกณฑ์ที่กำหนดไว้ ได้แก่ ต้องไม่เป็นอาคารควบคุม (หม้อแปลงไฟฟ้ารวมไม่ถึง 1,175 กิโลโวลต์แอมป์ (kVA) และไม่ขึ้นทะเบียนเป็นอาคารควบคุมไว้กับ พพ. แต่ละอาคารต้องมีคณะทํางานที่มีความพร้อมที่จะดําเนินกิจกรรมการอนุรักษ์พลังงานแห่งละไม่น้อยกว่า 3 คน อาคารจะต้องได้รับการสนับสนุนจากผู้บริหารระดับสูง เช่น กรรมการผู้จัดการ หรือเทียบเท่า รวมทั้งมีแผนงานของบริษัทเพื่อลดการใช้พลังงานในอาคาร ซึ่งการดำเนินการดังกล่าวเป็นต้นแบบไปสู่อาคารธุรกิจอื่นๆ ใช้เป็นแนวทางในการอนุรักษ์พลังงานต่อไป