กลุ่มมิตรผลจัดงาน “Mitr Phol Top Talk 2018: Business Transformation in The Era of Creative Disruption” มุ่งพลิกโฉมความสามารถในการแข่งขันขององค์กรสู่ยุคนวัตกรรมสร้างสรรค์ธุรกิจ พร้อมสร้างวิสัยทัศน์จากผู้มีประสบการณ์ชั้นนำระดับโลกให้แก่ผู้บริหาร คู่ค้า และพนักงาน เพื่อร่วมกันขับเคลื่อนองค์กรสู่ธุรกิจยุคดิจิตอลอย่างแข็งแกร่ง ที่โรงแรมโอกุระ เพรสทีจ กรุงเทพฯ เมื่อเร็วๆ นี้
กลุ่มมิตรผลตระหนักถึงความสำคัญของการสร้างองค์กรสู่ยุคนวัตกรรมสร้างสรรค์ธุรกิจ จึงได้จัดงาน “Mitr Phol Top Talk 2018: Business Transformation in The Era of Creative Disruption” พร้อมเชิญวิทยากรผู้เชี่ยวชาญในสาขาต่างๆ มาถ่ายทอดประสบการณ์และแนวทางการรับมือกับความเปลี่ยนแปลงธุรกิจสู่ยุคดิจิตอลนี้ให้แก่ผู้บริหาร คู่ค้า และพนักงาน เพื่อร่วมกันพัฒนาและปรับกลยุทธ์องค์กรสู่ธุรกิจยุคดิจิตอลให้เติบโตอย่างเข้มแข็ง
นายอิสระ ว่องกุศลกิจ ประธานกรรมการ กลุ่มมิตรผล กล่าวระหว่างพิธีเปิดงานว่า “ความสามารถในการแข่งขันเป็นหัวใจหลักในการอยู่รอดขององค์กร ภายใต้สภาวะการเปลี่ยนแปลงแบบฉับพลันทางธุรกิจจากเทคโนโลยีใหม่ๆ ที่ส่งผลให้เกิดนวัตกรรมโมเดลธุรกิจ (Business Model Innovation) การจัดการข้อมูลเชิงลึก (Big Data) และการใช้ประโยชน์จากปัญญาประดิษฐ์ (Artificial Intelligence) ที่ทำให้ธุรกิจสามารถเข้าถึงลูกค้าได้หลากหลายกลุ่มมากขึ้น กลุ่มมิตรผลให้ความสำคัญต่อการเปลี่ยนแปลงเหล่านี้ และสนับสนุนการนำเทคโนโลยีสมัยใหม่มาสร้างโอกาสทางธุรกิจ เพิ่มความสามารถทางการแข่งขัน และพัฒนาคนให้มีศักยภาพพร้อมรับความเปลี่ยนแปลง”
ต่อมา นายกฤษฎา มณเทียรวิเชียรฉาย ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและกรรมการผู้จัดการใหญ่ กลุ่มมิตรผล ได้กล่าวเพิ่มเติมจากนายอิสระว่า “การเปลี่ยนแปลง คือ ความท้าทายของธุรกิจ” เทคโนโลยีสมัยใหม่กำลังสร้างความเปลี่ยนแปลง พร้อมทั้งความท้าทายให้กับธุรกิจ กลุ่มมิตรผลตระหนักถึงความสำคัญของการปรับตัวให้ก้าวทันเทคโนโลยีเพื่อสร้างโอกาสทางธุรกิจใหม่ๆ จากการเปลี่ยนแปลงของสภาพแวดล้อมการทำธุรกิจที่แตกต่างจากเดิมอย่างสิ้นเชิง
มร.ไมเคิล เพ็ง กรรมการผู้จัดการ จากบริษัทออกแบบระดับโลกอย่าง IDEO โตเกียว ประเทศญี่ปุ่น ได้มาร่วมให้ความรู้ ภายใต้หัวข้อ ‘Design x Creativity’ เผยแนวคิด Design Thinking 6 ประการที่องค์กรสามารถนำไปปรับใช้ เพื่อริเริ่มการสร้างนวัตกรรมเพื่อตอบโจทย์อนาคตให้เกิดขึ้นภายในองค์กรได้ ซึ่งได้แก่ 1) การกำหนดเป้าหมายที่ชัดเจน (Purposefulness) 2) การมองออกไปข้างนอกในมุมกว้าง (Looking out) 3) การทดลองใช้จริง (Experimentation) 4) การร่วมมือกัน (Collaboration) 5) การเสริมสร้างศักยภาพ ให้ทุกส่วนในองค์กรสามารถทำงานได้อย่างสร้างสรรค์ (Empowerment) และ 6) ใส่ใจในทุกรายละเอียด (Refinement)
ทั้งนี้ มร.ไมเคิลเผยว่า “การจะสร้างนวัตกรรมเพื่อตอบโจทย์อนาคตได้นั้น ต้องเริ่มต้นจากการบ่มเพาะวัฒนธรรมความสร้างสรรค์ให้แก่พนักงานภายในองค์กรก่อน ซึ่งต้องอาศัยระยะเวลาจึงจะเห็นผลการเปลี่ยนแปลง แต่สิ่งที่สำคัญที่สุด นั่นคือการเริ่มลงมือทำตั้งแต่วันนี้ โดยสามารถเริ่มต้นจากงานเล็กๆ ที่จะกระตุ้นให้คนในองค์กรเห็นถึงความสำคัญและการมีส่วนร่วมกัน หรืออาจเปิด Creative Lab พื้นที่ให้ทดลองใช้ความคิด เพื่อสนับสนุนการสร้างสรรค์สิ่งใหม่ๆ ภายในองค์กร”
ต่อมา นายอรพงศ์ เทียนเงิน ประธานกรรมการบริหาร บริษัท ดิจิทัล เวนเจอร์ส จำกัด ซึ่งเป็นบริษัทชั้นนำด้านการลงทุนและการค้นคว้านวัตกรรมการเงิน ได้มาให้ความรู้ในเรื่องของการนำเทคโนโลยี “บล็อกเชน” (Blockchain) มาปฏิวัติวงการธุรกิจที่เปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็วในขณะนี้ นายอรพงศ์ได้อธิบายว่า เทคโนโลยี “บล็อกเชน” (Blockchain) เสมือนการนำระบบการจัดการฐานข้อมูลมาใช้เพื่อขยายฐานความรู้ด้านนวัตกรรมเทคโนโลยีชั้นสูง และสร้างโอกาสทางธุรกิจใหม่ๆ ในอนาคต
เทคโนโลยีนี้เป็นตัวแทนแห่งนวัตกรรมทางด้านข้อมูล ด้วยการนำเสนอวิธีที่ชาญฉลาดและโปร่งใสในการบันทึกข้อมูล พร้อมเผยแพร่ออกไปให้สามารถตรวจสอบได้ในวงกว้าง ด้วยเทคโนโลยีนี้ เราจึงไม่จำเป็นที่จะต้องมีคนกลางในการมาตรวจสอบความน่าเชื่อถือและความโปร่งใสของการแลกเปลี่ยนในโลกออนไลน์ที่เกิดขึ้น ข้อดีของบล็อกเชน คือ ความน่าเชื่อถือ ประหยัดเวลา งบประมาณ และทรัพยากร
จากนั้น ดร.จาชชัว แพส กรรมการผู้จัดการ บริษัท AddVentures by SCG ได้ขึ้นกล่าวให้ความรู้ถึงการสร้างสรรค์นวัตกรรมหรือการกระตุ้นให้เกิดไอเดียธุรกิจใหม่ๆ ให้เกิดขึ้นในองค์กร เพื่อนำนวัตกรรมจากสตาร์ทอัพ (Startup) เหล่านั้นมาต่อยอดธุรกิจขององค์กร
ดร.จาชชัวเล่าว่า “ทุกวันนี้สตาร์ทอัพได้เข้ามามีบทบาทในทุกธุรกิจ เพราะสตาร์ทอัพคิดได้เก่ง อีกทั้งยังสามารถทำได้เร็ว องค์กรต่างๆ จึงควรต้องมีบทบาทในการผนวกและเชื่อมโยงทั้งสตาร์ทอัพและบริษัทเข้าด้วยกัน”
กลุ่มสตาร์ทอัพมีจุดเด่นในเรื่องสปิริตความเป็นเจ้าของกิจการ ผนวกกับความรู้ด้านเทคโนโลยีจากการมองในมุมมองของผู้บริโภค เมื่อประกอบกับ Speed ในกระบวนการทำงานที่เรียกว่า Lean Startups รวมทั้งการใช้เทคโนโลยีดิจิตอล จึงทำให้ข้อจำกัดในการทำธุรกิจแบบเดิมๆ หายไป และทำให้ผลลัพธ์ของสตาร์ทอัพสามารถขยายให้ธุรกิจเติบโตต่อไปได้ พร้อมช่วยเสริมรากฐานอันแข็งแกร่งในระยะยาวให้องค์กร จากการนำเทคโนโลยีดิจิตอลมาประยุกต์ใช้ในธุรกิจ เพื่อการเติบโตอย่างยั่งยืนขององค์กรต่อไปในอนาคต
ปัจจุบันนี้เทคโนโลยีดิจิตอลเข้ามามีอิทธิพลเป็นอย่างมากในธุรกิจต่างๆ ทำให้องค์กรต่างๆ ต้องสร้างสรรค์นวัตกรรมใหม่ๆ ให้ได้โดยเร็วเพื่อปรับตัวตามธุรกิจที่เปลี่ยนแปลงอยู่เสมอๆ กลุ่มมิตรผลตระหนักถึงความเปลี่ยนแปลงอย่างฉับพลันที่เกิดขึ้น และพร้อมพลิกโฉมองค์กรสู่ยุคนวัตกรรมสร้างสรรค์ธุรกิจเพื่อการเติบโตอย่างเข้มแข็งและยั่งยืนต่อไปในอนาคต