xs
xsm
sm
md
lg

ธพ.นัดถกโรงกลั่น-ผู้ค้า ม.7 หาข้อสรุปสำรองน้ำมันตาม กม.

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: MGR Online


กรมธุรกิจพลังงานนัดถกผู้ค้าน้ำมัน ม.7 และโรงกลั่นน้ำมันช่วง มี.ค.นี้เพื่อหาข้อสรุปปรับสำรองน้ำมันตามกฎหมาย โดยมีข้อเสนอปรับลดสำรองน้ำมันดิบจาก 6% เหลือ 5% เพื่อให้โรงกลั่นจัดหาน้ำมันดิบราคาถูกมาใช้ได้ โดยเพิ่มสำรองน้ำมันสำเร็จรูปจาก 1% เป็น 2% ทำให้ผู้ค้าน้ำมันมีภาระเพิ่มขึ้น ด้านผู้ค้า ม.7 อ้อนขอคงสำรองฯ ไว้เท่าเดิม

นายวิฑูรย์ กุลเจริญวิรัตน์ อธิบดีกรมธุรกิจพลังงาน (ธพ.) เปิดเผยว่า กรมธุรกิจพลังงานเตรียมประชุมหารือร่วมกับผู้ค้านํ้ามันมาตรา 7 และกลุ่มโรงกลั่นน้ำมันในช่วงกลางเดือนมีนาคมนี้ เพื่อหาแนวทางการปรับสำรองน้ำมันตามกฎหมายที่เหมาะสมกับสถานการณ์ปัจจุบัน เนื่องจากกลุ่มโรงกลั่นขอให้ปรับลดสำรองน้ำมันดิบลงจากปัจจุบันที่จัดเก็บอยู่ 6% ของการค้าน้ำมัน หรือประมาณ 22 วัน โดยกรมฯ มีแนวคิดจะปรับลดการสำรองน้ำมันดิบให้กับกลุ่มโรงกลั่นลงเหลือ 5% หรือประมาณ 18 วัน และจะเพิ่มสำรองน้ำมันสำเร็จรูปจาก 1% เป็น 2% หรือประมาณ 7 วัน

ทั้งนี้ การปรับลดสำรองน้ำมันดิบลงเพื่อเปิดโอกาสให้โรงกลั่นสามารถนำเข้าน้ำมันจากประเทศอื่นที่มีราคาถูกเข้าเพิ่มได้ เช่น อเมริกา และเอเชียตะวันออก มาใช้ในโรงกลั่นได้มากขึ้น จากปัจจุบันที่การนำเข้าน้ำมันดิบจากตะวันออกกลางกว่า 50% จากอดีตที่ไม่สามารถนำเข้าได้เพราะถังเก็บน้ำมันเต็ม ส่งผลให้ราคาน้ำมันในประเทศถูกลงได้ในระยะยาว

นายวิฑูรย์กล่าวต่อไปว่า ทางกรมฯ จึงต้องหาความสมดุลระหว่างผู้ค้าน้ำมันกับโรงกลั่น เพราะหากดำเนินการปรับเปลี่ยนสำรองน้ำมันตามกฎหมายตามแนวทางข้างต้น ความมั่นคงด้านน้ำมันของประเทศยังเหมือนเดิมเพราะมีสำรองเท่าเดิม 25 วัน และในระยะยาวผู้ใช้น้ำมันจะได้ประโยชน์จากการแข่งขันที่มากขึ้น หากโรงกลั่นฯ สามารถแข่งขันนำเข้าได้ แต่ผู้ค้าน้ำมันจะมีภาระต้นทุนเพิ่มขึ้นจากการสำรองน้ำมันสำเร็จรูปที่เพิ่มจาก 1% เป็น 2%

“ก่อนหน้านี้ทางกลุ่มโรงกลั่นน้ำมันยื่นเสนอขอปรับลดสำรองน้ำมันดิบเหลือ 3.5% และเพิ่มสำรองน้ำมันสำเร็จรูปเป็น 3.5% เท่ากันเหมือนในอดีตที่จัดเก็บ 6% เท่ากัน แต่ต่อมารัฐปรับลดสำรองน้ำมันสำเร็จรูปลงเหลือ 1% ในช่วงเกิดวิกฤตนิวเคลียร์ในอิหร่าน แต่ปัจจุบันสถานการณ์ความขัดแย้งระหว่างประเทศผู้ผลิตน้ำมันได้ลดลง และมีการผลิตน้ำมันและก๊าซฯ จากชั้นหินดินดานจากอเมริกา และแหล่งอื่นๆ มากขึ้น ก็เป็นโอกาสที่โรงกลั่นฯ จะนำเข้าน้ำมันดิบจากแหล่งที่ถูกกว่าเป็นทางเลือกเพิ่มขึ้น” นายวิฑูรย์กล่าว

อย่างไรก็ตาม หากการปรับสำรองน้ำมันได้ข้อสรุปแล้วก็จะส่งเรื่องไปยังคณะกรรมการบริหารนโยบายพลังงาน (กบง) เพื่ออนุมัติก่อนประกาศบังคับใช้ต่อไป

ด้าน นายชัยฤทธิ์ สิมะโรจน์ กรรมการผู้จัดการ บริษัท ซัสโก้ จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า หากกระทรวงพลังงานจะปรับเพิ่มสำรองน้ำมันสำเร็จรูปจาก 1% เป็น 2% นั้นเห็นว่า เป็นการเพิ่มภาระให้แก่ผู้ค้าน้ำมัน ม.7 ที่มีภาระค่าใช้จ่ายเพิ่มมากขึ้นจากการปรับค่าแรงขั้นต่ำและภาษีโรงเรือนที่กำลังจะมีการจัดเก็บอัตราใหม่ จึงอยากให้รัฐคงอัตราสำรองน้ำมันสำเร็จรูปไว้ 1% เท่าเดิม เพราะที่ผ่านมาก็ไม่มีวิกฤตจนเป็นปัจจัยเสี่ยงเกี่ยวกับความมั่นคงพลังงาน และหากมีปัญหาผู้ค้าน้ำมันก็พร้อมร่วมมืออยู่แล้ว

แต่หากรัฐยืนยันจำเป็นต้องจัดเก็บสำรองน้ำมันสำเร็จรูปเพิ่ม บริษัทก็ยินดีให้ความร่วมมือ แต่ขอให้นับรวมน้ำมันในส่วนเดตสต๊อก (น้ำมันก้นถังเก็บน้ำมัน) ที่อยู่ในถังน้ำมันรวมด้วยเหมือนในอดีต ทำให้ผู้ค้าน้ำมันลดภาระต้นทุนทางการเงินเพื่อสต๊อกน้ำมันเพิ่มได้บางส่วน

นายสุกฤตย์ สุรบถโสภณ กรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท ไออาร์พีซี จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า กลุ่มโรงกลั่นฯ มองว่าการปรับลดสำรองน้ำมันดิบลง 1% ในช่วงนี้เป็นจังหวะที่เหมาะสม เพราะการจัดหาน้ำมันดิบในปัจจุบันง่าย และราคาน้ำมันไม่ได้สูงเหมือนอดีตที่กว่า 100 เหรียญสหรัฐต่อบาร์เรล ซึ่งปีนี้เฉลี่ยจะอยู่ที่ 55-60 เหรียญสหรัฐต่อบาร์เรล การลดสำรองฯ มาอยู่ที่ 5% เท่ากับช่วยให้โรงกลั่นมีเงินทุนหมุนเวียนดีขึ้น แต่ยอมรับว่าการปรับเพิ่มสำรองน้ำมันสำเร็จรูป 2% จะทำให้ในส่วนของผู้ค้า ม.7 มีภาระเพิ่มขึ้น แต่ยังต่ำกว่าอดีตที่ควรเก็บสำรองในปริมาณเท่ากัน


กำลังโหลดความคิดเห็น