ดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภคเดือน พ.ค.ปรับตัวลดลงครั้งแรกในรอบ 6 เดือน หลังกรุงเทพฯ เจอบึ้มทำให้ความเชื่อมั่นด้านการเมืองลดลง แถมเจอสินค้าเกษตรตกต่ำฉุดกำลังซื้ออีก แนะรัฐเร่งเบิกจ่ายงบประมาณลงทุนโครงสร้างพื้นฐาน และผลักดันอีอีซี จับตาผลกระทบกาตาร์ทำให้ราคาน้ำมันดิบลดลง กระทบกำลังซื้อกลุ่มประเทศตะวันออกกลาง
นายธนวรรธน์ พลวิชัย ผู้อำนวยการศูนย์พยากรณ์เศรษฐกิจและธุรกิจ มหาวิทยาลัยหอการค้าไทย เปิดเผยถึงผลการสำรวจประชาชนทั่วประเทศ 2,251 ตัวอย่าง เกี่ยวกับความคิดเห็นต่อเศรษฐกิจไทยประจำเดือน พ.ค. 2560 ว่า ดัชนีความเชื่อผู้บริโภคทุกรายการปรับตัวลดลงครั้งแรกในรอบ 6 เดือน หรือนับตั้งแต่เดือน ธ.ค. 2559 โดยดัชนีความเชื่อมั่นของผู้บริโภค (CCI) อยู่ที่ 76.0 ลดจาก เม.ย. 2560 ที่ 77.0 ดัชนีความเชื่อมั่นของผู้บริโภคในปัจจุบันอยู่ที่ 53.7 ลดจาก 54.7 และดัชนีความเชื่อมั่นของผู้บริโภคในอนาคตอยู่ที่ 85.3 ลดจาก 86.3 ขณะที่ดัชนีความเชื่อมั่นเกี่ยวกับเศรษฐกิจโดยรวมอยู่ที่ 64.3 ลดจาก 65.4 ดัชนีความเชื่อมั่นเกี่ยวกับโอกาสในการหางานอยู่ที่ 70.9 ลดจาก 71.6 และดัชนีความเชื่อมั่นเกี่ยวกับรายได้ในอนาคตอยู่ที่ 92.7 ลดจาก 94.0
ปัจจัยลบที่ทำให้ดัชนีความเชื่อมั่นของผู้บริโภคปรับตัวลดลงทุกรายการ เป็นผลจากความกังวลต่อเหตุการณ์ระเบิดในกรุงเทพฯ ซึ่งส่งผลต่อความเชื่อมั่นในด้านการเมือง ทำให้ตัวเลขสำรวจดัชนีความคิดเห็นเกี่ยวกับสถานการณ์การเมืองเดือน พ.ค.อยู่ที่ 84.7 ปรับตัวลดลงต่อเนื่องเป็นเดือนที่ 5 และต่ำสุดในรอบ 21 เดือนนับตั้งแต่ ก.ย. 2558 ซึ่งเป็นเรื่องของความรู้สึกประชาชนที่มองการเมืองแบบไม่สบายใจ แต่น่าจะเป็นผลกระทบระยะสั้น หากไม่มีเหตุการณ์ระเบิดซ้ำคาดว่าความเชื่อมั่นในเดือนหน้าจะปรับตัวดีขึ้น
นอกจากนี้ ยังพบปัจจัยลบในเรื่องของกำลังซื้อในต่างจังหวัดที่ลดลง เพราะประชาชนในต่างจังหวัดการค้าขายไม่ค่อยดี เป็นผลมาจากราคาสินค้าเกษตรปรับตัวลดลง โดยเฉพาะราคายางพารา มันสำปะหลัง ข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ และสับปะรด ทำให้กำลังซื้อเกษตรกรลดลง ราคาน้ำมันขายปลีกปรับตัวสูงขึ้น ตลาดหุ้นปรับตัวลดลง คนยังมีความกังวลเรื่องค่าครองชีพเพราะเห็นว่ารายได้ไม่สอดคล้องกับค่าครองชีพ และมีความกังวลเกี่ยวกับการฟื้นตัวของเศรษฐกิจโลก และการดำเนินนโยบายของนายโดนัลด์ ทรัมป์ ประธานาธิบดีสหรัฐฯ ที่อาจส่งผลต่อเศรษฐกิจไทยในอนาคต
นายธนวรรธน์กล่าวว่า สิ่งที่รัฐบาลต้องเร่งดำเนินการเพื่อผลักดันให้เศรษฐกิจปีนี้เติบโตตามเป้าหมาย จะต้องเร่งรัดการเร่งเบิกจ่ายงบประมาณลงไปในโครงสร้างพื้นฐานให้เร็วที่สุดเพื่อเพิ่มรายได้ในต่างจังหวัด รวมทั้งการผลักดันโครงการพัฒนาระเบียงเศรษฐกิจตะวันออก (อีอีซี) ให้เกิดขึ้นโดยเร็ว เพราะศูนย์ฯ ยังมองว่าดัชนีความเชื่อมั่นยังอยู่ในช่วงขาขึ้น รัฐบาลจะต้องเร่งสร้างความเชื่อมั่น และเพิ่มรายได้ให้ประชาชน โดยศูนย์ฯ ยังคงคาดการณ์ว่าเศรษฐกิจไทยในปีนี้จะเติบโต 3.5-4% การส่งออกขยายตัว 2-3%
สำหรับผลกระทบกรณีที่ชาติอาหรับแบนประเทศกาตาร์จากการสนับสนุนกลุ่มไอเอสนั้น มองว่าไม่ส่งผลในด้านการค้าและการส่งออกมากนัก เนื่องจากไทยส่งออกไปยังกาตาร์ในปริมาณที่ไม่มากเมื่อเทียบกับตลาดอื่น แต่ที่น่าห่วงคือ ด้านกำลังซื้อของประเทศในตะวันออกกลางที่จะมีผลกระทบตามมา รวมถึงการท่องเที่ยว เนื่องจากกาตาร์อาจเพิ่มกำลังการผลิตน้ำมันดิบมากขึ้นเพื่อชดเชยรายได้จากภาคการค้าที่หายไป ทำให้ความพยายามของกลุ่มโอเปกที่ลดกำลังการผลิตน้ำมันลงเพื่อดันราคาขึ้นไม่ประสบความสำเร็จ และส่งผลให้ราคาน้ำมันดิบทรงตัวต่ำ ซึ่งจะมีผลกระทบทั้งภูมิภาค
อย่างไรก็ตาม ต้องติดตามสถานการณ์การเลือกตั้งในอังกฤษที่คาดว่าจะมีการจัดตั้งรัฐบาลผสมจาก 2 พรรค เนื่องจากคะแนนสูสีกัน ที่จะมีผลต่อการแยกตัวออกจากสหภาพยุโรป (อียู) ของอังกฤษ (เบร็กซิต) อาจเกิดความไม่ชัดเจนขึ้นมา และปัญหาเศรษฐกิจภายในอียู เช่น ธนาคารกลางสเปนอาจเพิ่มทุนไม่ได้ รวมถึงการก่อการร้ายที่มีมากขึ้น หลังจากที่อังกฤษ ฝรั่งเศส และอินโดนีเซีย ประสบปัญหาก่อการร้ายอย่างต่อเนื่อง มีผลต่อภาคการท่องเที่ยว และมีผลต่ออัตราแลกเปลี่ยนมากขึ้น โดยค่าเงินบาทแข็งค่าอยู่ที่ระดับ 34 บาทต่อเหรียญสหรัฐ ซึ่งไม่เป็นผลดีต่อการส่งออกไทย