ผู้จัดการรายวัน 360 - “สิงห์” เดินหน้าย้ำธงเดิม ธุรกิจแอลกอฮอล์กับนอนแอลกอฮอล์สัดส่วนรายได้เท่ากัน 50% พร้อมเร่งสปีดให้เร็วที่สุด เผยธุรกิจอสังหาริมทรัพย์มาแรงลงทุนเต็มที่
นายสันติ ภิรมย์ภักดี กรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท บุญรอดบริวเวอรี่ จำกัด เปิดเผยว่า ปัจจุบันกลุ่มสิงห์มีรายได้จากธุรกิจเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ ซึ่งเบียร์คือรายได้หลัก 65% และธุรกิจไม่ใช่เครื่องดื่มแอลกฮอลล์ 35% ซึ่งยังคงเป้าหมายเดิมที่จะแบ่งสัดส่วนรายได้ให้เท่ากันที่ 50% ให้เร็วที่สุด จากกลุ่มธุรกิจที่แบ่งเป็น 5 กลุ่มหลัก คือ เครื่องดื่มแอลกอฮอล์, นอนแอลกอฮอล์ คือ อาหาร เครื่องดื่ม ขนมขบเคี้ยว เป็นต้น, อสังหาริมทรัพย์, บรรจุภัณฑ์ และอื่นๆ จากรายได้รวมกว่าแสนล้านบาท
ทั้งนี้ กลุ่มธุรกิจอาหารและเครื่องดื่มไม่มีแอลกอฮอล์ยังถือเป็นกลุ่มที่มีแนวโน้มการเติบโตสูง ซึ่งมีหลายธุรกิจแล้ว เช่น บริษัท เฮสโก ฟู้ด อินดัสทรี่ จำกัด ผลิตขนมข้าวอบกรอบ สแน็ค, บริษัท วราฟู้ดแอนด์ดริ๊งค์ จำกัด ผลิตน้ำมะพร้าว อาหารกระป๋องจำหน่ายในตลาดต่างประเทศ
สำหรับธุรกิจที่ขยายตัวมากในขณะนี้คือ อสังหาริมทรัพย์ ทั้งการพัฒนาโครงการต่างๆ ในหลายรูปแบบ เช่น ที่อยู่อาศัยประเภทคอนโดมิเนียม บ้านเดี่ยว อาคารสำนักงาน และโรงแรม ซึ่งสาเหตุที่ทำธุรกิจโรงแรมด้วยเนื่องจากว่าเป็นธุรกิจที่เติบโตดี ซึ่งรูปแบบลงทุนมีหลากหลายเปิดกว้างไม่จำกัดขึ้นอยู่กับความเหมาะสม ทั้งการซื้อและควบรวมกิจการ การร่วมทุน โดยที่กลุ่มสิงห์เปิดกว้างทั้งการถือหุ้นมากถือหุ้นน้อยก็ได้
สิงห์มีการลงทุนต่อเนื่องและใช้งบประมาณหลักหมื่นล้านบาทเพื่อขยายธุรกิจ ซึ่งปัจจุบันธุรกิจที่ลงทุนมากๆ คืออสังหาริมทรัพย์ โดยบริษัท สิงห์ เอสเตท จำกัด (มหาชน) ซึ่งเป็นบริษัทที่จดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ จึงมีการขยายธุรกิจจำนวนมากและรวดเร็วด้วย ล่าสุด สิงห์ เอสเตท ได้เป็นผู้บริหารจัดการโครงการเมกะโปรเจกต์ที่มัลดีฟส์ ซึ่งเป็นการลงทุนด้านการท่องเที่ยวบนพื้นที่ 9 เกาะในมัลดีฟส์ เป็นโครงการขนาดใหญ่ มีหลายธุรกิจ เช่น ชอปปิ้ง, ท่าเทียบเรือยอชต์, บีชคลับ และโรงแรมฯ และเมื่อไม่นานมานี้ได้ร่วมมือกับเครือฮาร์ด ร็อค เพื่อร่วมกันพัฒนาโรงแรมด้วย ซึ่งก่อนหน้านี้กลุ่มสิงห์ได้ร่วมมือกับกลุ่มฟิโก้เพื่อซื้อกิจการโรงแรมเมอร์เคียว 26 แห่งในประเทศอังกฤษแล้ว
นายสันติ ภิรมย์ภักดี กรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท บุญรอดบริวเวอรี่ จำกัด เปิดเผยว่า ปัจจุบันกลุ่มสิงห์มีรายได้จากธุรกิจเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ ซึ่งเบียร์คือรายได้หลัก 65% และธุรกิจไม่ใช่เครื่องดื่มแอลกฮอลล์ 35% ซึ่งยังคงเป้าหมายเดิมที่จะแบ่งสัดส่วนรายได้ให้เท่ากันที่ 50% ให้เร็วที่สุด จากกลุ่มธุรกิจที่แบ่งเป็น 5 กลุ่มหลัก คือ เครื่องดื่มแอลกอฮอล์, นอนแอลกอฮอล์ คือ อาหาร เครื่องดื่ม ขนมขบเคี้ยว เป็นต้น, อสังหาริมทรัพย์, บรรจุภัณฑ์ และอื่นๆ จากรายได้รวมกว่าแสนล้านบาท
ทั้งนี้ กลุ่มธุรกิจอาหารและเครื่องดื่มไม่มีแอลกอฮอล์ยังถือเป็นกลุ่มที่มีแนวโน้มการเติบโตสูง ซึ่งมีหลายธุรกิจแล้ว เช่น บริษัท เฮสโก ฟู้ด อินดัสทรี่ จำกัด ผลิตขนมข้าวอบกรอบ สแน็ค, บริษัท วราฟู้ดแอนด์ดริ๊งค์ จำกัด ผลิตน้ำมะพร้าว อาหารกระป๋องจำหน่ายในตลาดต่างประเทศ
สำหรับธุรกิจที่ขยายตัวมากในขณะนี้คือ อสังหาริมทรัพย์ ทั้งการพัฒนาโครงการต่างๆ ในหลายรูปแบบ เช่น ที่อยู่อาศัยประเภทคอนโดมิเนียม บ้านเดี่ยว อาคารสำนักงาน และโรงแรม ซึ่งสาเหตุที่ทำธุรกิจโรงแรมด้วยเนื่องจากว่าเป็นธุรกิจที่เติบโตดี ซึ่งรูปแบบลงทุนมีหลากหลายเปิดกว้างไม่จำกัดขึ้นอยู่กับความเหมาะสม ทั้งการซื้อและควบรวมกิจการ การร่วมทุน โดยที่กลุ่มสิงห์เปิดกว้างทั้งการถือหุ้นมากถือหุ้นน้อยก็ได้
สิงห์มีการลงทุนต่อเนื่องและใช้งบประมาณหลักหมื่นล้านบาทเพื่อขยายธุรกิจ ซึ่งปัจจุบันธุรกิจที่ลงทุนมากๆ คืออสังหาริมทรัพย์ โดยบริษัท สิงห์ เอสเตท จำกัด (มหาชน) ซึ่งเป็นบริษัทที่จดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ จึงมีการขยายธุรกิจจำนวนมากและรวดเร็วด้วย ล่าสุด สิงห์ เอสเตท ได้เป็นผู้บริหารจัดการโครงการเมกะโปรเจกต์ที่มัลดีฟส์ ซึ่งเป็นการลงทุนด้านการท่องเที่ยวบนพื้นที่ 9 เกาะในมัลดีฟส์ เป็นโครงการขนาดใหญ่ มีหลายธุรกิจ เช่น ชอปปิ้ง, ท่าเทียบเรือยอชต์, บีชคลับ และโรงแรมฯ และเมื่อไม่นานมานี้ได้ร่วมมือกับเครือฮาร์ด ร็อค เพื่อร่วมกันพัฒนาโรงแรมด้วย ซึ่งก่อนหน้านี้กลุ่มสิงห์ได้ร่วมมือกับกลุ่มฟิโก้เพื่อซื้อกิจการโรงแรมเมอร์เคียว 26 แห่งในประเทศอังกฤษแล้ว