“ราชบุรีฯ” ศึกษาลงทุนโรงไฟฟ้าป้อนนิคมฯ ติละวาที่พม่า คาดได้ข้อสรุปในกลางปีนี้ ส่วนโรงไฟฟ้า Riau ที่อินโดนีเซีย ล่าสุดได้ลงนามสัญญาซื้อขายไฟฟ้าแล้ว 20 ปี
แหล่งข่าวบริษัท ผลิตไฟฟ้าราชบุรี โฮลดิ้ง จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า บริษัทฯ อยู่ระหว่างการเจรจารายละเอียดในโครงการลงทุนโรงไฟฟ้าในนิคมอุตสาหกรรมติละวา สาธารณรัฐแห่งสหภาพเมียนมาร์ (พม่า) เพื่อรองรับความต้องการใช้ไฟฟ้าที่เพิ่มขึ้นในนิคมฯดังกล่าว คาดว่าจะได้ข้อสรุปภายในกลางปีนี้
ที่ผ่านมาบริษัทฯ ให้ความสำคัญในการขยายการลงทุนเพิ่มเติมในกลุ่มประเทศ CLMV ( กัมพูชา ลาว พม่า และเวียดนาม) ขณะที่ไทยเองก็มองโอกาสการลงทุนธุรกิจไฟฟ้าเช่นกัน โดยยอมรับว่าการลงทุนโรงไฟฟ้าขนาดใหญ่เป็นไปได้ยากเนื่องจากรัฐไม่มีนโยบายเปิดประมูลรับซื้อไฟในช่วงนี้ คงมีเพียงโครงการโรงไฟฟ้าพลังงานหมุนเวียนที่มีขนาดไม่ใหญ่มาก จึงต้องมีการศึกษาความคุ้มค่าการลงทุน รวมทั้งเจรจาที่จะเข้าซื้อกิจการโรงไฟฟ้า SPP แทน
นายกิจจา ศรีพัฑฒางกุระ กรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท ผลิตไฟฟ้าราชบุรีโฮลดิ้ง จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า บริษัท อาร์เอช อินเตอร์เนชั่นแนล (สิงคโปร์) คอร์ปอเรชั่น จำกัด (RHIS) ซึ่งเป็นบริษัทย่อย ได้ลงนามร่วมทุนกับบริษัท PT Medco Power Indonesia (MPI) จัดตั้งบริษัท PT Medco Ratch Power Riau (MRPR) เป็นผู้ดำเนินงานโครงการโรงไฟฟ้า Riau กำลังการผลิต 275 เมกะวัตต์ ใช้ก๊าซธรรมชาติเป็นเชื้อเพลิง โดยมี RHIS ถือหุ้น 49% และ PT Medco ถือหุ้น 51%
โครงการนี้เป็นความก้าวหน้าสำคัญในการขยายฐานธุรกิจในต่างประเทศตามแผนยุทธศาสตร์ของบริษัทฯ และอินโดนีเซียถือเป็นประเทศเป้าหมายที่มีศักยภาพและโอกาสการลงทุนทั้งในธุรกิจผลิตไฟฟ้าและพลังงาน ที่สำคัญโครงการนี้เป็นการร่วมทุนกับ MPI ซึ่งเป็นบริษัทพลังงานชั้นนำของอินโดนีเซีย ถือเป็นจุดแข็งที่ทำให้ได้รับเลือกเป็นผู้พัฒนาโครงการโรงไฟฟ้าพลังความร้อนร่วม Riau จากรัฐบาลอินโดนีเซีย
“MRPR เป็นบริษัทร่วมทุนที่จัดตั้งขึ้นด้วยทุนจดทะเบียน 12,000 ล้านรูเปียห์ (ประมาณ 32.42 ล้านบาท) ทำหน้าที่ดำเนินงานโครงการโรงไฟฟ้า Riau มีมูลค่าโครงการประมาณ 300 ล้านเหรียญสหรัฐ โดยได้ลงนามสัญญาซื้อขายไฟฟ้า (PPA) ระยะเวลา 20 ปี กับ Perusahaan Listrik Negara (PLN) หรือการไฟฟ้าประเทศอินโดนีเซียเป็นที่เรียบร้อยแล้ว สำหรับเงินลงทุนจะใช้จาก 2 แหล่ง คือ เงินส่วนทุนประมาณ 25% และเงินกู้ประมาณ 75% บริษัทฯ ได้พิจารณาและป้องกันความเสี่ยงทุกประเด็นอย่างรอบคอบและเชื่อมั่นว่าโครงการนี้จะช่วยสร้างมูลค่าองค์กรให้เติบโตและมีรายได้นับจากเริ่มเดินเครื่องเชิงพาณิชย์ในปี 2564” นายกิจจากล่าว