“กรมพัฒนาธุรกิจการค้า” เซ็น MOU กรมสรรพากร เปลี่ยนวิธีชำระอากรแสตมป์ จากเดิมที่ต้องซื้อมาติดบนเอกสาร เป็นจ่ายเงินสดต่อนายทะเบียนได้เลย เผยยังรองรับการเปิดให้บริการจดทะเบียนนิติบุคคลออนไลน์ 18 เม.ย.นี้ สามารถจ่ายผ่านระบบหรือนำโค้ดไปจ่ายผ่าน 7-11 มั่นใจทำให้การจดทะเบียนตั้งธุรกิจใหม่ของไทยดีขึ้น
น.ส.บรรจงจิตต์ อังศุสิงห์ อธิบดีกรมพัฒนาธุรกิจการค้า เปิดเผยว่า กรมฯ ได้ลงนามในบันทึกความเข้าใจ (MOU) กับกรมสรรพากร ในทึกข้อตกลงว่าด้วยการจัดเก็บอากรแสตมป์แทนกรมสรรพากร สำหรับตราสารที่ต้องเสียอากรแสตมป์ตามประมวลรัษฎากร ที่เกี่ยวกับการจดทะเบียนนิติบุคคล โดยจากนี้ไปผู้ประกอบธุรกิจไม่ต้องซื้ออากรแสตมป์มาติดบนเอกสารตามที่กฎหมายกำหนดอีก แต่สามารถจ่ายเงินสดต่อนายทะเบียนได้ทันที ซึ่งจะทำให้ผู้ประกอบธุรกิจลดระยะเวลาในการติดต่อกับภาครัฐ และประหยัดเวลาในการทำธุรกิจได้เพิ่มขึ้น
ทั้งนี้ ตามขั้นตอนปกติในการยื่นเอกสารการจดทะเบียนนิติบุคคลบางอย่าง กฎหมายได้กำหนดให้ต้องมีการติดอากรแสตมป์ ทำให้เอกชนต้องมีความยุ่งยากไปหาซื้ออากรแสตมป์มาติด บางครั้งซื้อมาเกิน บางครั้งซื้อมาขาดบ้าง ทำให้เสียเวลา แต่จากนี้ไป สามารถจ่ายเงินสดที่นายทะเบียนได้เลย ซึ่งจะทำให้ภาคธุรกิจมีความสะดวกสบายมากขึ้น
น.ส.บรรจงจิตต์กล่าวว่า การดำเนินการดังกล่าวเป็นการส่งเสริมให้การเปิดดำเนินการระบบจดทะเบียนนิติบุคคลทางอิเล็กทรอนิกส์ (e-Registration) อย่างครบวงจร ซึ่งกรมฯ จะเปิดให้บริการเป็นครั้งแรกในวันที่ 18 เม.ย. 2560 นี้ ประสบความสำเร็จได้ตามเป้า เพราะจะทำให้การจดทะเบียนจัดตั้งนิติบุคคลออนไลน์ทำได้ตั้งแต่เริ่มต้นจัดตั้งธุรกิจ การจองชื่อ การยื่นจดทะเบียน การจดทะเบียนเปลี่ยนแปลง ไปจนถึงการเลิกประกอบธุรกิจ ซึ่งสามารถทำได้ผ่านระบบออนไลน์ทั้งหมด และทำได้ตลอดทั้ง 24 ชั่วโมง
“ในส่วนของอากรแสตมป์ที่มีการลงนามกับกรมสรรพากรไปแล้ว ก็จะมาช่วยสนับสนุนระบบการจดทะเบียนนิติบุคคลออนไลน์ เพราะในช่วงการจดทะเบียนออนไลน์ หากมีเอกสารที่จะต้องติดอากรแสตมป์ ก็สามารถจ่ายเงินผ่านช่องทางของระบบได้เลย หรือถ้าไม่สะดวก ก็ให้นำโค้ดที่ได้จากระบบไปจ่ายผ่านเซเว่นอีเลฟเว่นก็ได้” น.ส.บรรจงจิตต์กล่าว
อย่างไรก็ตาม กรมฯ คาดว่า เมื่อระบบจดทะเบียนนิติบุคคลทางอิเล็กทรอนิกส์ หรือ e-Registration เปิดให้ใช้บริการอย่างสมบูรณ์แล้ว จะส่งผลให้การจดทะเบียนธุรกิจของประเทศไทยเทียบเท่าประเทศที่มีแนวปฏิบัติด้านการให้บริการจดทะเบียนธุรกิจที่เป็นเลิศของโลกจาก Best Practice เช่น นิวซีแลนด์ ฮ่องกง สิงคโปร์ เป็นต้น และจะช่วยยกระดับประเทศไทยให้เป็นประเทศที่ง่ายต่อการเริ่มต้นธุรกิจ (Ease of Doing Business) โดยคาดว่าผลการจัดอันดับความยาก-ง่ายในการประกอบธุรกิจด้านการเริ่มต้นธุรกิจ (Starting Business) ปี 2018 ประเทศไทยจะมีอันดับที่ดีขึ้นกว่าเดิมแบบก้าวกระโดดอย่างแน่นอน ซึ่งจะส่งผลต่อการตัดสินใจเดินทางเข้ามาลงทุนในประเทศไทยของชาวต่างชาติเพิ่มขึ้น