xs
xsm
sm
md
lg

เข้าใจตรงกัน! ขบ.แจกแจงกราฟิกคำสั่ง ม.44 สั่งคาดเข็มขัดนิรภัย-ติด GPS รถตู้โดยสารต้องทุกที่นั่ง รถสี่ล้อเล็กที่นั่งตอนหน้าต้องมี

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: MGR Online


กรมการขนส่งฯ แจงรายละเอียดคำสั่งมาตรา 44 เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการบังคับใช้กฎหมายว่าด้วยการจราจรทางบก รถตู้โดยสารคาดเข็มขัดนิรภัยทุกที่นั่ง และติด GPS ส่วนสี่ล้อเล็กโดนด้วย ต้องติดเข็มขัดนิรภัยด้านหน้าของคนขับและผู้โดยสาร พร้อมเร่งประสานตำรวจพัฒนาระบบเชื่อมโยงข้อมูลอิเล็กทรอนิกส์ระบบออนไลน์ ส่งต่อข้อมูลภาษีและค่าปรับ

เมื่อวันที่ 24 มีนาคม พล.ท.สรรเสริญ แก้วกำเนิด โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี ร่วมแถลงข่าวเกี่ยวกับรายละเอียดใน ม.44 ฉบับที่ 14/2560 เรื่องมาตรการเพิ่มประสิทธิภาพการบังคับใช้กฎหมายว่าด้วยการจราจรทางบกพร้อมผู้บริหารหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง โดยมี พล.ต.ท.วิทยา ประยงค์พันธ์ ผู้ช่วยผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ พล.ต.ต.สมชาย เกาสำราญ ผู้บังคับการตำรวจทางหลวง นายกอบชัย บุญอรณะ รองอธิบดีกรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย พ.ต.อ.ทินกร ณัฏฐมั่งคั่ง รองผู้บังคับการตำรวจจราจร และนายสนิท พรหมวงษ์ อธิบดีกรมการขนส่งทางบก ร่วมชี้แจง

โดยคำนึงถึงวัตถุประสงค์เพื่อความปลอดภัยในการใช้รถใช้ถนน เน้นให้เคารพกฎจราจร ให้มีวินัยขับขี่ ไม่ต้องการให้มีการฝ่าฝืนกฎหมาย ไม่อยากให้ถูกใบสั่งจราจร ร่วมสร้างจิตสำนึกด้านความปลอดภัยทางถนนอย่างยั่งยืนด้วยกัน โดยกรมการขนส่งทางบกร่วมกับสำนักงานตำรวจแห่งชาติเพิ่มมาตรการในกระบวนการชำระค่าปรับในการกระทำผิดกฎหมายจราจร

ซึ่งกรมการขนส่งทางบกยังคงอำนวยความสะดวกในการชำระภาษีรถประจำปีทุกกรณีเช่นเดิม กรณีผู้ขับขี่หรือเจ้าของรถที่มิได้กระทำผิดและไม่มีใบสั่งตามกฎหมายจราจรยังคงสามารถชำระภาษีรถประจำปีพร้อมรับเครื่องหมายแสดงการเสียภาษีประจำปี (ป้ายวงกลม) ได้ที่สำนักงานขนส่งทุกแห่งทั่วประเทศและทุกช่องทางตามปกติเช่นเดิม

สำหรับผู้ขับขี่หรือเจ้าของรถคันใดมีใบสั่งแต่ได้ชำระค่าปรับเรียบร้อยแล้วก็สามารถชำระภาษีรถประจำปีพร้อมรับเครื่องหมายแสดงการเสียภาษีประจำปี (ป้ายวงกลม) ได้ทุกช่องทางตามปกติเช่นกัน กรณีที่มีใบสั่งแต่ยังไม่ได้ชำระค่าปรับ และประสงค์จะชำระค่าปรับพร้อมชำระภาษีรถประจำปีในคราวเดียวกัน สามารถชำระค่าปรับพร้อมชำระภาษีรถประจำปีได้ในคราวเดียวกัน โดยกรมการขนส่งทางบกจะออกเครื่องหมายแสดงการเสียภาษีประจำปี (ป้ายวงกลม) ให้ทันทีได้ที่ทุกช่องทางเช่นเดิม

ทั้งนี้ หากผู้ขับขี่หรือเจ้าของรถคันที่มีใบสั่งตามกฎหมายจราจร แต่ยังไม่พร้อมชำระค่าปรับในคราวเดียวกัน กรมการขนส่งทางบกก็ยังคงอำนวยความสะดวกให้สามารถชำระภาษีรถประจำปีได้ตามปกติทุกช่องทางเช่นเดิม โดยจะได้รับหลักฐานแสดงการเสียภาษีประจำปีชั่วคราว ซึ่งมีอายุ 30 วันนับแต่วันที่นายทะเบียนออกให้ หากชำระค่าปรับเรียบร้อยแล้วสามารถนำหลักฐานใบเสร็จการชำระค่าปรับมาแสดง เพื่อรับเครื่องหมายแสดงการเสียภาษีประจำปี (ป้ายวงกลม) ได้ทันที

อย่างไรก็ตาม กรณีที่ชำระภาษีประจำปีแล้ว แต่ไม่ชำระค่าปรับที่ค้างชำระให้ครบถ้วนภายในระยะเวลาตามที่กำหนด พนักงานเจ้าหน้าที่จะแจ้งให้กรมการขนส่งทางบกงดออกเครื่องหมายแสดงการเสียภาษีประจำปี (ป้ายวงกลม) สำหรับรถคันนั้น และจะดำเนินคดีตามกฎหมายต่อไป

ทั้งนี้ กรมการขนส่งทางบกได้ให้ความร่วมมือกับสำนักงานตำรวจแห่งชาติจัดตั้งคณะทำงานร่วมพร้อมประชุมหารือกันอย่างใกล้ชิด โดยเร่งพัฒนาระบบในการเชื่อมโยงข้อมูลทางอิเล็กทรอนิกส์แบบออนไลน์ เพื่อให้กระบวนการตามมาตรการดังกล่าว สามารถอำนวยความสะดวกพร้อมให้บริการประชาชนอย่างมีประสิทธิภาพ อีกทั้งยังจัดเตรียมความพร้อมในการเชื่อมโยงระบบข้อมูลด้านทะเบียนและภาษีรถเข้ากับระบบชำระค่าปรับจราจรของสำนักงานตำรวจแห่งชาติเป็นระบบออนไลน์ทุกแห่งทั่วประเทศ

และในทางคู่ขนานกัน กรมการขนส่งทางบกจะเร่งรัดปรับปรุงกระบวนการให้บริการชำระภาษีรถประจำปี โดยจะพิจารณาให้สำนักงานขนส่งทุกแห่งทั่วประเทศมีช่องบริการเฉพาะเพื่ออำนวยความสะดวกในการให้บริการประชาชนที่ประสงค์จะชำระค่าปรับจราจรด้วย ทั้งนี้ กรมการขนส่งทางบกมีความมุ่งมั่นที่จะพัฒนาการให้บริการในรูปแบบที่หลากหลายเพื่อให้ประชาชนได้รับความสะดวกและมีทางเลือกใช้บริการรับชำระภาษีรถประจำปีผ่านช่องทางต่างๆ ได้แก่ สำนักงานขนส่งทุกแห่งทั่วประเทศ “เลื่อนล้อ ต่อภาษี” (Drive Thru for Tax) ชำระภาษีโดยไม่ต้องลงจากรถ หน่วยบริการรับชำระภาษีที่ห้างสรรพสินค้า ในวันเสาร์-อาทิตย์ ตามโครงการ “ช้อปให้พอ แล้วต่อภาษี” (Shop Thru for Tax) ศูนย์บริการร่วมคมนาคม เชิงสะพานสมเด็จพระเจ้าตากสิน ที่ให้บริการทุกวันจันทร์-ศุกร์ ตั้งแต่เวลา 08.30-15.00 น. ศูนย์บริการร่วม G-point รวมถึงบริการรับชำระภาษีรถประจำปีผ่านระบบอินเทอร์เน็ตที่เว็บไซต์ www.dlte-serv.in.th ผ่านเคาน์เตอร์เซอร์วิส ไปรษณีย์ และโทรศัพท์มือถือ ซึ่งเจ้าของรถสามารถชำระภาษีรถประจำปีล่วงหน้าได้ไม่เกิน 90 วัน

ส่วนประกาศกรมการขนส่งทางบกเรื่องการติดตั้งเข็มขัดนิรภัยและตำแหน่งที่นั่งเพื่อกำหนดคุณสมบัติและการติดตั้งเข็มขัดนิรภัย ตามกฎหมายว่าด้วยรถยนต์ พ.ศ. 2555 กำหนดให้รถยนต์ส่วนบุคคล รถแท็กซี่ และรถที่ใช้รับส่งจากสนามบิน (รถลิมูซีน) ที่จดทะเบียนตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม 2531-วันที่ 31 ธันวาคม 2553 จะต้องติดตั้งเข็มขัดนิรภัยสำหรับที่นั่งของคนขับและที่นั่งตอนหน้ารถ ส่วนรถที่จดทะเบียนตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม 2554 เป็นต้นไป กำหนดให้ต้องติดตั้งเข็มขัดนิรภัยทุกที่นั่ง และสำหรับรถตู้ส่วนบุคคล รถปิกอัพ และรถสองแถว ที่จดทะเบียนตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม 2537 กำหนดให้ต้องติดตั้งเข็มขัดนิรภัยในที่นั่งของผู้ขับรถและที่นั่งตอนหน้า

ทั้งนี้ รถตู้ส่วนบุคคลที่ผลิตหรือนำเข้าตั้งแต่วันที่ 1 เมษายน 2555 เป็นต้นไป ต้องติดตั้งเข็มขัดนิรภัยทุกที่นั่ง สำหรับรถสี่ล้อเล็กรับจ้างที่จดทะเบียนตั้งแต่วันที่ 1 เมษายน 2555 กำหนดให้ติดตั้งเข็มขัดนิรภัยเฉพาะที่นั่งด้านหน้าของคนขับและผู้โดยสาร ทั้งนี้ รูปแบบของเข็มขัดนิรภัยที่ต้องติดตั้งแบ่งออกเป็น 2 รูปแบบ คือ แบบรัดหน้าตัก และรั้งพาดไหล่ ใช้สำหรับตำแหน่งที่นั่งผู้ขับรถ ที่นั่งตอนเดียวกับผู้ขับรถ และที่นั่งตอนหลังผู้ขับรถริมสุด ส่วนที่นั่งระหว่างกลางเป็นเข็มขัดนิรภัยแบบรัดหน้าตัก (แบบคาดเอว)

สำหรับรถตามกฎหมายว่าด้วยการขนส่งทางบกที่ต้องจัดให้มีเข็มขัดนิรภัย พ.ศ. 2555 กำหนดให้รถบรรทุกทุกประเภทที่จดทะเบียนตั้งแต่วันที่ 1 เมษายน 2555 จะต้องติดตั้งเข็มขัดนิรภัยสำหรับที่นั่งของคนขับและที่นั่งตอนหน้ารถ

ส่วนรถตู้โดยสารที่จดทะเบียนตั้งแต่วันที่ 1 เมษายน 2555 ต้องติดตั้งเข็มขัดนิรภัยทุกที่นั่ง ทุกคัน และในทุกเส้นทาง สำหรับรถโดยสารที่วิ่งระหว่างกรุงเทพมหานครไปต่างจังหวัด (หมวด 2) และที่วิ่งระหว่างจังหวัด (หมวด 3) ที่จดทะเบียนตั้งแต่วันที่ 1 เมษายน 2557 กำหนดให้ต้องติดตั้งเข็มขัดนิรภัยทุกที่นั่ง ทุกคัน ซึ่งหากเป็นรถขนาดเล็กที่วิ่งภายในจังหวัด และจดทะเบียนตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม 2537 เป็นต้นไป ต้องติดตั้งเข็มขัดนิรภัยส่วนที่นั่งด้านหน้าของคนขับและที่นั่งตอนหน้าคู่คนขับ โดยกำหนดให้ที่นั่งของผู้ขับรถและที่นั่งตอนเดียวกับผู้ขับรถติดตั้งเข็มขัดนิรภัยแบบรัดหน้าตักและรั้งพาดไหล่ ส่วนที่นั่งตรงกลางและที่นั่งตอนหลังผู้ขับรถทุกที่นั่งต้องติดตั้งเข็มขัดนิรภัยแบบรัดหน้าตัก (แบบคาดเอว)

สำหรับคำสั่ง คสช. ฉบับที่ 15/2560 เรื่องมาตรการเพิ่มความปลอดภัยในรถโดยสารสาธารณะ เพื่อเป็นการเพิ่มประสิทธิภาพในการควบคุมกำกับดูแลรถโดยสารสาธารณะให้เกิดความปลอดภัยในชีวิตและทรัพย์สินของประชาชน ลดสถิติการเกิดอุบัติเหตุจากรถโดยสารทุกประเภทให้เหลือน้อยที่สุด โดยเฉพาะในระยะเร่งด่วนช่วงเทศกาลสงกรานต์ 2560 ซึ่งจะเป็นการเสริมสร้างความมั่นใจในการเดินทางของประชาชนนั้น กรมการขนส่งทางบกพร้อมดำเนินการทันที และให้เป็นไปตามมาตรฐานเดียวกันทุกสำนักงานขนส่งจังหวัดทั่วประเทศ โดยเพิ่มความเข้มข้นในการควบคุมกำกับดูแลรถโดยสารสาธารณะและบังคับใช้มาตรการลงโทษตามกฎหมาย หากผู้ประกอบการไม่ควบคุมดูแลพนักงานขับรถให้ปฏิบัติหน้าที่ด้วยความปลอดภัยจนเป็นสาเหตุของอุบัติเหตุร้ายแรง ฝ่าฝืนกระทำผิดเงื่อนไขในใบอนุญาตประกอบการ บรรทุกผู้โดยสารเกินจำนวนที่นั่ง ทิ้งผู้โดยสาร เก็บค่าโดยสารเกินอัตราที่กำหนด หรือปล่อยให้มีการนำรถไปใช้กระทำผิดตามกฎหมายอื่น

เช่น ความผิดเกี่ยวกับยาเสพติดให้โทษ กรมการขนส่งทางบกสามารถสั่งเพิกถอนการจดทะเบียนรถ ระงับใช้รถ หรือพักใช้ใบอนุญาตประกอบการขนส่งได้ทันทีโดยมีระยะเวลาไม่เกิน 6 เดือน รวมถึงผู้ประกอบการต้องจัดทำสมุดประจำรถ ประวัติผู้ประจำรถ ตรวจสอบสภาพและความพร้อมของรถและผู้ขับรถพร้อมทำบันทึกการตรวจสอบดังกล่าว และใบกำกับสินค้ากรณีเป็นผู้ประกอบการขนส่งโดยรถบรรทุก

นอกจากนี้ ผู้ประกอบการรถสาธารณะยังต้องจัดให้มีประกันภัยเพิ่มเติมจากประกันภัยตาม พ.ร.บ.คุ้มครองผู้ประสบภัยจากรถ พ.ศ. 2535 เพื่อประโยชน์ในการคุ้มครองผู้โดยสารและบุคคลภายนอก โดยต้องแสดงหลักฐานการจัดทำประกันภัยทั้งภาคบังคับและที่จัดทำเพิ่มเติมก่อนดำเนินการชำระภาษีรถประจำปีและในการยื่นขอต่ออายุใบอนุญาตประกอบการขนส่ง ทั้งนี้ หากไม่มีการจัดทำประกันภัยตามที่กำหนดหรือแสดงหลักฐานไม่ครบถ้วน จะไม่สามารถดำเนินการจดทะเบียนรถ ต่อภาษีประจำปี หรือต่ออายุใบอนุญาตประกอบการได้

นอกจากนี้ ในคำสั่ง คสช.ฉบับดังกล่าวยังได้สนับสนุนการบริหารจัดการเดินรถด้วยระบบ GPS ของกรมการขนส่งทางบกให้มีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้นอย่างครบวงจร โดยกำหนดให้ผู้ให้บริการระบบ GPS ต้องมีส่วนร่วมในการดูแลระบบ ให้สามารถรายงานสถานะของรถแต่ละคันมายังศูนย์ฯ GPS ของกรมการขนส่งทางบกแบบเรียลไทม์ทันที หากระบบ GPS ของผู้ให้บริการมีปัญหาขัดข้องต้องดำเนินการแก้ไขโดยเร่งด่วน หากละเลยฝ่าฝืนมีความผิดปรับวันละไม่เกิน 5,000 บาท จนกว่าจะแก้ไขได้แล้วเสร็จ อีกทั้งกำหนดมาตรฐานด้านความปลอดภัยของตัวรถโดยสารสาธารณะเพิ่มเติมเพื่อให้ผู้ประกอบการขนส่งดำเนินการโดยเคร่งครัด

เช่น การติดถังบรรจุก๊าซซึ่งต้องไม่เกินสมรรถนะของตัวรถ การกำหนดจำนวนที่นั่งผู้โดยสารของรถตู้โดยสารไม่เกิน 13 ที่นั่ง การแก้ไขปรับปรุงตัวรถ รวมถึงการแก้ไขกลไกให้ผู้โดยสารสามารถเปิดประตูหลังจากด้านในได้เมื่อรถเกิดอุบัติเหตุขึ้น ซึ่งกรมการขนส่งทางบกจะกำหนดแนวทางปฏิบัติสำหรับผู้ประกอบการรถตู้โดยสารโดยเร็วเพื่อให้เป็นตามคำสั่งของ คสช. และเพื่อยกระดับความปลอดภัยของรถโดยสารสาธารณะ เตรียมความพร้อมรองรับการเดินทางช่วงเทศกาลสงกรานต์ และสร้างความปลอดภัยทางถนนอย่างยั่งยืน



กำลังโหลดความคิดเห็น