คมนาคมสั่งรื้อโครงสร้างค่าตั๋วโลว์คอสต์ฯ เล็งลดเพดานขั้นสูง กรณี “ไม่เสิร์ฟน้ำ /อาหาร/โหลดกระเป๋า

กบร.คลอดแผน รักษาความปลอดภัย และการฝึกอบรมเจ้าหน้าที่สนามบินเตรียมรับ ICAO ตรวจก.ค.นี้ “อาคม”สั่งกพท.ศึกษาโครงสร้างค่าโดยสาร “โลว์คอสต์ฯ” ตามบริการเพื่อความเป็นธรรมกับผู้โดยสาร เล็งลด เพดานขั้นสูงเหลือ 9 บาท /กม. กรณีไม่มีบริการพื้นฐาน เช่น น้ำ,อาหารว่าง,ไม่มีสัมภาระ เผยต้นทุนผันแปรตามบริการไม่กระทบแอร์ไลน์

นายอาคม เติมพิทยาไพสิฐ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคมเปิดเผยภายหลังเป็นประธานการประชุมคณะกรรมการการบินพลเรือน (กบร.) ว่า ที่ประชุมกบร.เห็นชอบแผนด้านรักษาความปลอดภัย เพื่อเตรียมความพร้อมรองรับองค์การการบินพลเรือนระหว่างประเทศ ( ICAO) ตรวจสอบตาม โครงการตรวจสอบการรักษาความปลอดภัยสากล (Universal Security Audit Programme - USAP) ในระหว่างวันที่ 13-21 ก.ค. 60 โดยเห็นชอบแผนการฝึกอบรมการรักษาความปลอดภัยการบินพลเรือน และแผนการควบคุมคุณภาพการรักษาความปลอดภัยการบินพลเรือน ซึ่งอยู่ภายใต้แผนรักษาความปลอดภัยในการบินพลเรือนแห่งชาติ (NCASP) ซึ่งจะเป็นแผนที่ สำนักงานการบินพลเรือนแห่งประเทศไทย (กพท.) ใช้ในการตรวจสอบ ท่าอากาศยาน สายการบิน ผู้ประกอบการที่เกี่ยวข้อง ทุกๆ ระบบ โดยเฉพาะพนักงานตรวจคนซึ่งคาดว่าจะถูกตรวจมากที่สุด

ทั้งนี้ เนื่องจากเจ้าหน้าที่ทุกด้านจะต้องมีทักษะ ความสามารถในการทำหน้าที่ดังนั้นเมื่อมีแผนการฝึกอบรมและแผนรักษาความปลอดภัย เจ้าของสนามบิน สายการบิน, คาร์โก้ เป็นต้น จะต้องนำไปฝึกอบรมพนักงานของตนเอง โดยปัจจุบัน ครูฝึกในส่วนของรัฐ ทั้งกรมท่าอากาศยาน(ทย.) บริษัท ท่าอากาศยานไทย จำกัด (มหาชน) หรือทอท. และกพท.มีประมาณ 20 คน ของเอกชนอีก 30 คน รวมเป็น 50 คน จะช่วยฝึกอบรม
และ กบร.ยังอนุมัติร่างแผนอำนวยความสะดวก การบินพลเรือนแห่งชาติ เพื่อบูรณาการ ระหว่างความปลอดภัย (Safety) การรักษาความปลอดภัย (Security) และการอำนวยความสะดวก รวมถึงอนุมัติหลักการคุณสมบัติผู้รับใบอนุญาตนักบินพาณิชย์เอก โดยสามารถนำชั่วโมงบินจากราชการมานับรวมเป็นความชำนาญและประสบการณ์ได้ เพื่อแก้ปัญหาขาดแคลนนักบิน โดยให้กพท.จัดทำรายละเอียดหลักเกณฑ์ต่อไป

*** แยกค่าโดยสารโลว์คอสต์ฯ เป็น 2 เพดานขั้นสูง ตามบริการ

นอกจากนี้ยังมอบหมายให้กพท.ศึกษาโครงสร้างอัตราค่าโดยสารสำหรับสายการบินต้นทุนต่ำ (โลว์คอสต์แอร์ไลน์) ให้ ทันสมัยมากขึ้น จากปัจจุบันกำหนดเพดานสูงสุดที่ 13 บาท/กม.ใช้ร่วมกันทุกประเภท ซึ่งอาจจะไม่เหมาะสมสำหรับกรณีที่บางสายมีบริการแบบ Full service และโครงสร้างเดิมกำหนดปี 2553 ซึ่งน้ำมันราคาสูงกว่าปัจจุบัน เพื่อไม่ให้เอาเปรียบผู้โดยสารและสายการบินยังแข่งขันได้

ด้านนายจุฬา สุขมานพ ผู้อำนวยการ กพท.กล่าวว่า ได้หารือในที่ประชุมกบร.ถึงเพดานค่าโดยสารขั้นสูงที่ 13 บาท/กม.ซึ่งใช้กับทุกสายการบิน ซึ่งเห็นว่า ควรกำหนดค่าโดยสารขั้นสูงเป็น 2 ตัว คือ หากมีบริการพื้นฐานที่พึงจะมีเต็มรูปแบบ เช่น มีเครื่องดื่ม อาหาร บริการนำหนักกระเป๋า ใช้เพดานที่ 13 บาท/กม. หากไม่มีบริการจะใช้เพดานที่ต่ำกว่า มาอยู่ 8-9 บาท/ กม.เป็นต้น ซึ่งจะช่วยแก้ปัญหาเรื่องการซื้อตั๋วเร่งด่วนแล้วราคาสูงได้ เช่น กทม.-เชียงใหม่ระยะทาง 500กม. เพดานสูงที่ 13 บาทค่าโดยสารสูงสุดที่ 6,500 บาท แต่หากเป็นแบบไม่มีบริการพื้นฐาน ปรับเพดานมาที่ 9 บาท/กม. จะเหลือค่าตั๋วสูงสุดไม่เกิน 4,500 บาท ประชาชนได้ประโยชน์ ส่วนสายการบินมีต้นทุนผกผันตามบริการอยู่แล้ว บางสายขายถูกได้ เพราะตัดบริการบางตัว เช่น ไม่มีน้ำ, อาหารว่าง ไม่มีกระเป๋าสัมภาระ ขายในราคาหนึ่ง หากมีกระเป๋า 10 กก.หรือ 20กก. จะขายราคาหนึ่ง

สำหรับการเตรียมพร้อมรับการตรวจด้านรักษาความปลอดภัยของ ICAO นั้น ทาง ICAOมีคำถามด้านรักษาความปลอดภัย 486 ข้อ และจะตรวจ สนามบินสุวรรณภูมิและดอนเมืองหลักการคือ กพท.จะส่งเอกสาร 3 เรื่องให้ ICAO ตรวจสอบ จากนั้นเดือนก.ค. ICAO จะมาตรวจสอบว่า เมื่อรัฐ ได้กำหนดแผนแล้ว นำไปปฏิบัติได้จริงหรือไม่ เช่น มีคู่มือสนามบินแล้ว ปฏิบัติได้ตามนั้นหรือไม่ มีการฝึกอบรมเจ้าหน้าที่ที่ปฏิบัติงานในสนามบิน ทุกๆ ด้าน และผู้ผ่านการอบรมจะได้รับใบอนุญาตต่อไป

อย่างไรก็ตาม ประเทศไทยได้มีแผนรักษาความปลอดภัยในการบินพลเรือนแห่งชาติ ซึ่งออกมาเมื่อเดือนก.พ. 2559 โดยจะต้องแผนย่อย คือ การฝึกอบรม บุคลากรที่อยู่ในด้านรักษาความปลอดภัย และสอบให้เป็นไปตามเกณฑ์ และ ต้องมีแผนควบคุมคุณภาพ เพื่อตรวจว่า แผนชาดที่กำหนดสามารถปฏิบัติได้จริงหรือไม่ กำหนดกระบวนการตรวจสอบ ทั้งสนามบิน สายการบิน คลังสินค้าและผู้ประกอบการที่เกี่ยวข้อง อีกทั้งความปลอดภัย ระบบรักษาความปลอดภัยที่กำหนดจะต้องไม่กระทบต่อการอำนวยความสะดวก ดังนั้นจะต้องถ่วงดุลแผนทั้งหมด ว่าหากเข้มงวดด้านความปลอดภัยมาก จะต้องไม่ทำให้ผู้โดยสารล่าช้า ทาง ICAO จะมาดูแผนที่ทำ และต้องทำให้มั่นใจว่าแผนปฏิบัติได้จริง