“เอ็กโก” ทุ่มกว่า 3 หมื่นล้าน ลุย 7 โครงการโรงไฟฟ้าในปีนี้ มั่นใจปีนี้กำไรโตกว่าปีก่อนที่ 9,157 ล้านบาท หลังรับรู้รายได้จาก 4 โครงการใหม่ในปี 69 แย้มปีหน้าไซยะบุรีอาจจะทยอยจ่ายไฟเร็วกว่าแผนงาน
นายชนินทร์ เชาวน์นิรัติศัย กรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท ผลิตไฟฟ้า จำกัด (มหาชน) หรือเอ็กโก กรุ๊ป เปิดเผยว่า ในปีนี้เอ็กโก กรุ๊ป ได้เตรียมงบลงทุนไว้กว่า 30,000 ล้านบาท ใช้ใน 7 โครงการทั้งในและต่างประเทศ แบ่งเป็นโครงการที่อยู่ระหว่างก่อสร้าง 6 โครงการ ได้แก่ โครงการ SPP ในประเทศ 3 โครงการ โรงไฟฟ้าพลังน้ำไซยะบุรี ที่ลาว โรงไฟฟ้าซานบัวนาเวนทูรา และโรงไฟฟ้า มาซินลอค หน่วยที่ 3 ในประเทศฟิลิปปินส์ ซึ่งจะก่อสร้างแล้วเสร็จและทยอยเดินเครื่องเชิงพาณิชย์ ตั้งแต่ปี 2560-2562 รวมทั้งโครงการที่อยู่ระหว่างการโอนหุ้น 1 โครงการ ได้แก่ โรงไฟฟ้าพลังงานความร้อนใต้พิภพซาลัก และดาราจัทในประเทศอินโดนีเซีย คาดว่าจะแล้วเสร็จในกลาย มี.ค.นี้
งบลงทุนดังกล่าวยังไม่นับรวมโครงการใหม่ที่เตรียมเข้าไปลงทุนและโครงการที่อยู่ระหว่างการศึกษาความเป็นไปได้ในต่างประเทศอีก 4 โครงการ คือ โรงไฟฟ้าพลังน้ำปากแบง ที่อยู่ระหว่างรอการอนุมัติจากคณะกรรมาธิการแม่น้ำโขง (MRC) และโรงไฟฟ้าพลังน้ำ-น้ำเทิน 1 ซึ่งอัยการสูงสุดอยู่ระหว่างการพิจารณาร่างสัญญาซื้อขายไฟฟ้า (PPA) หลังจากคณะรัฐมนตรีเห็นชอบแล้ว อินโดนีเซีย มี 1 โครงการ คือ โรงไฟฟ้าพลังงานความร้อนใต้พิภพ สตาร์ เอนเนอร์ยี่ ส่วนขยาย หน่วยที่ 3 อีก 60 เมกะวัตต์ซึ่งอยู่ระหว่างการเจรจาค่าไฟฟ้ากับการไฟฟ้าอินโดนีเซีย คาดว่าโครงการนี้จะจ่ายไฟได้ 2567 และเวียดนาม มี 1 โครงการ คือ โรงไฟฟ้าถ่านหิน กวางจิ ขนาด 1.2 พันเมกะวัตต์ ที่อยู่ระหว่างการเจรจาเสนอขายไฟฟ้ากับทางรัฐบาล
“บริษัทฯ มุ่งเน้นขยายธุรกิจในต่างประเทศที่มีฐานอยู่แล้วและสามารถขยายตลาดได้อีก ได้แก่ ฟิลิปปินส์ ซึ่งเป็นตลาดหลัก รวมทั้งลาว และอินโดนีเซีย รวมทั้งแสวงหาโอกาสขยายการลงทุนไปยังประเทศอื่นๆ เช่น เวียดนาม และพม่า เป็นต้น” นายชนินทร์กล่าว
สำหรับประเทศไทย บริษัทฯ ก็เล็งเห็นโอกาสการลงทุนในธุรกิจไฟฟ้าเช่นกัน โดยเฉพาะโครงการโรงไฟฟ้าขนาดเล็กและขนาดเล็กมาก (SPP / VSPP) ประเภทพลังงานหมุนเวียน ซึ่งภาครัฐส่งเสริมให้เอกชนเข้าดำเนินการโครงการ SPP Hybrid Firm รวมทั้งการต่อสัญญาซื้อขายไฟฟ้าของโรงไฟฟ้าขนาดเล็ก (SPP) ประเภทโคเจนเนอเรชั่น ของเอ็กโก กรุ๊ป กับ กฟผ.ที่จะสิ้นสุดสัญญาซื้อขายไฟ
ขณะเดียวกันก็ตั้งเป้าหมายผลิตไฟฟ้าจากพลังงานหมุนเวียน 30% ภายในปี 2569 จากปัจจุบันมีการผลิตอยู่ 18% หรือคิดเป็น 751 เมกะวัตต์
สำหรับผลการดำเนินงานในปีนี้ บริษัทฯ มั่นใจว่าจะมีรายได้และกำไรเติบโตขึ้นกว่าปี2559 ที่มีกำไรจากการดำเนินงาน 9,157 ล้านบาท เนื่องจากรับรู้รายได้จากโครงการใหม่เข้ามา 4โครงการคิดเป็น 400 เมกะวัตต์ในปีนี้ คือโครงการโรงไฟฟ้าพลังงานความร้อนใต้พิภพ “ซาลัก” และ “ดาราจัท” ประเทศอินโดนีเซียโครงการ SPP 3 โครงการ รวมทั้งรับรู้รายได้เต็มปีจากโรงไฟฟ้าขนอม หน่วยที่ 4 กำลังผลิต 930 เมกะวัตต์ จังหวัดนครศรีธรรมราช และโรงไฟฟ้าชัยภูมิ วินด์ฟาร์ม จังหวัดชัยภูมิ กำลังการผลิตตามสัญญาซื้อขายไฟฟ้า 80 เมกะวัตต์
สำหรับโครงการไซยะบุรี กำลังผลิต 1,280 เมกะวัตต์ ขณะนี้อยู่ระหว่างการก่อสร้าง คาดว่าจะจ่ายไฟเร็วกว่ากำหนดบางส่วนในปลายปี 2561 ราว 2 ยูนิตๆ ละ 160 เมกะวัตต์ จากเดิมที่จะจ่ายไฟตามแผนในปี 2562