“พาณิชย์” จับมือ WEF ระดมสมองทำแผนพัฒนาและผลักดันสินค้าเกษตรอินทรีย์และสินค้าเกษตรนวัตกรรมของไทยออกสู่ตลาดโลก หลังพบมีโอกาสสูงจากความต้องการที่เพิ่มขึ้น นำร่องสินค้าข้าว เหตุต่อยอดไปทำสินค้าอื่นได้เพียบ
นายวินิจฉัย แจ่มแจ้ง ผู้ช่วยรัฐมนตรีประจำกระทรวงพาณิชย์ เปิดเผยภายหลังเป็นประธานประชุมนานาชาติร่วมกับสภาเศรษฐกิจโลก World Economic Forum - Grow Asia วันที่ 22 ก.พ. ว่าได้ประชุมหารือร่วมกับภาคธุรกิจชั้นนำ เอ็นจีโอ และนักวิชาการด้านต่างๆ ในการหาแนวทางส่งเสริมและผลักดันสินค้าเกษตรไทยออกสู่ตลาดต่างประเทศให้ได้เพิ่มขึ้น เพราะแนวโน้มความต้องการของตลาดโลกได้หันมาให้ความสำคัญกับสินค้าเกษตรอินทรีย์และสินค้าเกษตรที่มีนวัตกรรม หากไทยสามารถผลิตรองรับความต้องการได้ ไม่เพียงแต่จะช่วยให้เกษตรกรรายย่อยผลิตสินค้าเกษตรได้แบบยั่งยืน และมีรายได้ที่มั่นคง แต่ยังช่วยสร้างโอกาสในการส่งออกสินค้าเกษตรใหม่ๆ ให้แก่ไทยด้วย
ทั้งนี้ ในปัจจุบันสินค้าเกษตรอินทรีย์ มีมูลค่าในตลาดโลกปีละ 2.3 ล้านล้านบาท ขณะที่ไทยส่งออกในปี 2559 ที่ผ่านมามีมูลค่าเพียงแค่ 4 พันล้านบาท ไทยจึงมีโอกาสในการส่งออกสินค้าเกษตรอินทรีย์ได้เพิ่มขึ้น ซึ่งกระทรวงพาณิชย์มีแผนที่จะผลักดันการส่งออกสินค้าเกษตรอินทรีย์ไปยังตลาดสำคัญๆ เช่น ยุโรป สหรัฐฯ และอาเซียน ให้ได้เพิ่มขึ้นแล้ว
ส่วนสินค้าเกษตรที่มีนวัตกรรมก็อยู่ในแผนที่กระทรวงฯ จะเข้าไปพัฒนาและผลักดันให้มีการส่งออกเพิ่มขึ้นเช่นเดียวกัน ซึ่งที่ผ่านมา ได้ดำเนินการในส่วนของสินค้าข้าวไปแล้ว โดยทำการเชื่อมโยงสินค้าข้าวที่เป็นอินทรีย์ไปยังโรงงานผู้ผลิต เพื่อแปรรูปข้าวไปเป็นสินค้านวัตกรรมต่างๆ เช่น ยา อาหารเสริม เครื่องสำอาง วัสดุและผลิตภัณฑ์ทางการแพทย์ เป็นต้น
“ขณะนี้ 90% เป็นการส่งออกข้าวที่ยังไม่ได้แปรรูป อีก 10% เป็นข้าวที่นำไปแปรรูปแล้ว หากสามารถผลักดันให้มีการส่งออกผลิตภัณฑ์จากข้าวได้เพิ่มขึ้นจะสร้างรายได้เข้าประเทศมากขึ้น และดีกว่าที่ไทยส่งออกข้าวเป็นสินค้าขั้นปฐมเพียงอย่างเดียว เพราะถ้าความต้องการสินค้าข้าวนวัตกรรมมีสูงขึ้นก็จะยิ่งทำให้เกษตรกรที่ผลิตข้าวที่เป็นวัตถุดิบป้อนเข้ามาก็จะมีรายได้ดีขึ้นตามไปด้วย”
น.ส.พิมพ์ชนก วอนขอพร ผู้อำนวยการสำนักงานนโยบายและยุทธศาสตร์การค้า (สนค.) กล่าวว่า Grow Asia ซึ่งเป็นหน่วยงานภายใต้ WEF จะเข้ามาช่วยไทยในด้านข้อมูลแนวโน้มความต้องการสินค้าเกษตรนวัตกรรมของโลก และการจัดทำมาตรฐานให้กับสินค้าที่ผลิตได้ รวมทั้งจะช่วยในการหาหุ้นส่วนมาร่วมลงทุนกับผู้ประกอบการไทยในการพัฒนาสินค้าและขยายตลาดสินค้าเกษตรนวัตกรรมออกสู่ตลาดโลก
โดยผลสำรวจของ Euromonitor International คาดว่าตลาดสินค้าอาหารและเครื่องดื่มเพื่อสุขภาพ จะเติบโตต่อเนื่องเฉลี่ยปีละ 6-7% และในปี 2560 คาดว่ามูลค่าตลาดจะสูงถึง 1 ล้านล้านเหรียญสหรัฐ จึงเป็นโอกาสที่ไทยจะผลิตสินค้าเข้าไปชิงตลาด ซึ่งไทยจะเริ่มที่สินค้าข้าวเป็นลำดับแรก และขยายต่อไปยังสินค้าเกษตรอื่นๆ ต่อไป