ผู้จัดการรายวัน 360 - ปตท.คาดปีนี้ความต้องการใช้ก๊าซฯ โตขึ้น 1-2% โดยมีมาร์จินดีขึ้นหลังต้นทุนก๊าซฯ ในอ่าวลดลง มั่นใจปีนี้ไม่ต้องแบกรับขาดทุน NGV โดยจะขอรัฐปรับราคา NGV สำหรับรถยนต์สาธารณะ
นายวิรัตน์ เอื้อนฤมิต ประธานเจ้าหน้าที่ปฏิบัติการ กลุ่มธุรกิจปิโตรเลียมขั้นต้นและก๊าซธรรมชาติ บริษัท ปตท.จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่าแนวโน้มความต้องการใช้ก๊าซธรรมชาติในปีนี้จะเพิ่มขึ้นราว 1-2% จากปีที่แล้วที่5พันล้านลูกบาศก์ฟุต/วัน โดยประมาณ 60% เป็นการใช้เพื่อผลิตไฟฟ้าที่ยังเพิ่มขึ้นต่อเนื่อง ขณะที่อีก 20% เป็นการใช้ในโรงแยกก๊าซฯ เพื่อจำหน่ายให้กับโรงงานปิโตรเคมี และประมาณ 15% เป็นการขายให้กับลูกค้ากลุ่มอุตสาหกรรมที่เติบโตตามการใช้กำลังการผลิตของโรงงานต่างๆ ขณะที่ราว 6% เป็นการจำหน่ายให้กับ NGV ที่คาดว่าจะมีปริมาณลดลงในปีนี้
ส่วนการจัดหาก๊าซฯ ประมาณ 75% จะมาจากอ่าวไทย และอีก 17% เป็นการนำเข้าจากเมียนมา ที่เหลือ 8% เป็นการนำเข้าก๊าซธรรมชาติเหลว (LNG) โดยปีนี้คาดว่าจะนำเข้า LNG มากกว่า 5 ล้านตัน ส่วนใหญ่เป็นไปตามสัญญารับซื้อ LNG ระยะยาว มากกว่าปีที่แล้วที่มีการนำเข้าราว 2.9 ล้านตัน
ขณะที่ธุรกิจก๊าซฯ จะยังมีผลการดำเนินงานทรงตัวในระดับที่ดี ไม่เหมือนกับในปีก่อนที่ราคาต้นทุนก๊าซฯ ขยับตามราคาขายไม่ทันทำให้มีมาร์จินสูง ส่งผลให้แนวโน้มผลการดำเนินงานของ ปตท.ในปีนี้น่าจะอยู่ในระดับใกล้เคียงกับปีที่แล้ว เนื่องจากราคาน้ำมันที่ปรับตัวสูงขึ้นในช่วงปลายปีทำให้มีกำไรสต๊อกน้ำมัน ขณะที่มาร์จิ้นของธุรกิจก๊าซธรรมชาติสูงขึ้น จากต้นทุนก๊าซฯ ที่ต่ำ โดยคาดว่าราคาน้ำมันในปีนี้น่าจะขยับขึ้นเล็กน้อยราว 5 เหรียญสหรัฐ/บาร์เรล จากเฉลี่ยปีที่แล้ว 41 เหรียญ/บาร์เรล
ในปีที่ผ่านมา ปตท.ยังมีผลขาดทุนจาก NGV ราว 5 พันล้านบาท ลดลงจากราว 1 หมื่นล้านบาทในปี 2558 แม้รัฐบาลจะปรับราคาให้สะท้อนต้นทุนมากขึ้น แต่มีบางส่วนที่ ปตท.ยังอุดหนุนอยู่ เช่น รถยนต์สาธารณะ และการชดเชยค่าขนส่งทำให้ยังมีต้นทุน NGV ที่สูงอยู่ แต่หวังว่าธุรกิจ NGV ในปีนี้จะไม่ขาดทุน หลังจากยอดการใช้ NGV น่าจะลดลงอีกจากปีก่อนที่ลดลงมากถึงราว 9% ขณะเดียวกันก็จะเจรจากับรัฐบาลเพื่อขอให้ชดเชยค่าขนส่งมากขึ้น ด้วยการปรับราคา NGV เพิ่มเติม เพื่อให้สะท้อนกับต้นทุนเต็มที่ และขอปรับเพิ่มราคา NGV สำหรับรถยนต์สาธารณะด้วย