“ไอเอฟอีซี” เดินหน้าตามนโยบายสู่ธุรกิจหลักด้านพลังงาน รองรับเทรนด์ของกระแสโลกในปัจจุบัน เผยล่าสุดเซ็นสัญญาขายไฟฟ้าให้กัมพูชา
นายวิชัย ถาวรวัฒนยงค์ ประธานบริษัท อินเตอร์ ฟาร์อีสท์ เอ็นเนอร์ยี่ คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) หรือไอเอฟอีซี กล่าวถึงแผนการทางธุรกิจในปี 2560 ว่าปีนี้จะเป็นการเริ่มต้นสู่การเปลี่ยนแปลงครั้งสำคัญ โดยไอเอฟอีซีจะเน้นการกลับเข้าสู่ไลน์ธุรกิจหลักคือพลังงานทดแทนให้มากขึ้นเพื่อก้าวสู่เป้าหมายความเป็นพลังงานทดแทนครบวงจรในระดับอาเซียน ที่จะก้าวไปสู่ความเป็นสากลในอนาคตนี้ โดยในปัจจุบันเทรนด์ธุรกิจพลังงานทดแทนกำลังมาแรงและได้รับความสนใจจากทั่วโลก และเป็นธุรกิจที่มีอนาคตน่าลงทุน ท่ามกลางปัจจัยลบสภาวะเศรษฐกิจโลกชะลอตัว แต่ธุรกิจพลังงานทดแทนมีแนวโน้มเติมโตที่ดีอย่างต่อเนื่อง โดยเมื่อมีในเร็วๆ นี้จะมีการเปลี่ยนแปลงโครงสร้างการบริหารและกำลังจะมีผู้บริหารชุดใหม่เข้ามา สอดคล้องกับแผนธุรกิจของไอเอฟอีซีที่จะเดินหน้าเข้าสู่ธุรกิจหลักและขับเคลื่อนสู่ความเป็นสากลให้มากยิ่งขึ้นซึ่งจะเกิดขึ้นพร้อมๆ กับการปรับองค์กรภายในด้านต่างๆ ให้แล้วเสร็จเพื่อเดินหน้าไอเอฟอีซีสู่อนาคต
ด้านนายศุภกร แย้มงามเหลือ ผู้จัดการฝ่ายปฏิบัติการ บมจ.อินเตอร์ฟาร์อีสท์ เอ็นเนอร์ยี่ คอร์ปอเรชั่น กล่าวว่า เมื่อวันที่ 12 ม.ค.ที่ผ่านมา บริษัท ไอเอฟอีซี จะเซ็นสัญญาขายไฟฟ้าให้กับบริษัท MENG SOKLENG CONSTRUCTION AND ELECTRIC จำกัด ประเทศกัมพูชา การขายไฟฟ้าครั้งนี้เป็นความก้าวหน้าครั้งสำคัญของไอเอฟอีซี ในการออกไปดำเนินธุรกิจโรงไฟฟ้าที่ประเทศกัมพูชา โดยเป็นไปตามแผนธุรกิจในปี 2560 สู่การเป็นผู้ผลิตพลังงานครบวงจรซึ่งเป็นธุรกิจหลักของบริษัทฯ
สำหรับโรงไฟฟ้าดังกล่าวเป็นการผลิตไฟฟ้าจากพลังงานแสงอาทิตย์ ตั้งอยู่ที่อำเภอ 4 สกัด โตนเลบาสะ คันจอม กาโมน พนมเปญ โดยไอเอฟอีซีได้รับใบอนุญาตจากรัฐบาลกัมพูชาทั้งสิ้น 20 เมกะวัตต์ และขณะนี้เริ่มทดลองผลิตแล้ว 2 เมกะวัตต์ ส่วนเฟสต่อไปจะผลิต 5-8 เมกะวัตต์ ก่อนที่จะผลิตเต็มกำลังต่อไป
“ลักษณะกิจการไฟฟ้าในกัมพูชาแตกต่างกับประเทศไทย คือ เสาไฟฟ้ามีทั้งของภาครัฐและเอกชน ที่ผ่านมาโครงการของเราอยู่ห่างจากเสาไฟฟ้าพอสมควร แต่ถึงวันนี้เราโชคดีที่เสาไฟฟ้าของเอกชนรายนี้พาดผ่านโครงการของเราจึงสามารถจ่ายไฟเข้าระบบได้ในทันที โดยหลังจากนี้บริษัทฯ จะเร่งขายไฟฟ้าเข้าระบบตามจำนวนที่ได้รับอนุญาตให้เร็วที่สุด โดยการเซ็นสัญญาขายไฟให้กับทางกัมพูชาในครั้งนี้ ถือเป็นจุดเริ่มต้นสำคัญสู่การเดินหน้าขับเคลื่อนแผนธุรกิจในปี 60 ที่เป็นรูปธรรม สอดรับกับการกลับเข้าสู่ไลน์ธุรกิจหลักของไอเอฟอีซีอีกด้วย”