ผู้จัดการรายวัน 360 - “สหแพทย์เภสัช” ในเครือกรุงเทพดุสิตเวชการ เพิ่มงบประมาณในการลงทุนขยายกำลังการผลิต เปิดตัวโรงงานยาแห่งใหม่บนเนื้อที่ 15 ไร่ ให้เป็นโรงงานผลิตยาคุณภาพที่ครบครันด้วยนวัตกรรมและเทคโนโลยีมาตรฐานสากล ตอบรับความต้องการภายในประเทศและต่างประเทศ พร้อมหนุนภาคสาธารณสุข เพิ่มโอกาสการเข้าถึงยาคุณภาพ มั่นใจตอบโจทย์คนไทยและเอเชีย ด้วยเทคโนโลยีผลิตยาที่ทันสมัย ชูคุณภาพและมาตรฐานทัดเทียมโรงงานยาในต่างประเทศ
นายวิษณุ อัศเวศน์ รองประธานคณะผู้บริหารกลุ่มธุรกิจสนับสนุนโรงพยาบาลในเครือบริษัท กรุงเทพดุสิตเวชการ จำกัด (มหาชน) และกรรมการผู้จัดการ บริษัท สหแพทย์เภสัช จำกัด กล่าวว่า บริษัท สหแพทย์เภสัช จำกัด หรือ Medicpharma ได้เปิดขยายโรงงานผลิตยาแผนปัจจุบันด้วยเทคโนโลยีการผลิตที่ทันสมัย ได้มาตรฐานสากล ติดตั้งเครื่องมือเครื่องจักรอัตโนมัติ มีกระบวนการผลิตและการควบคุมและประกันคุณภาพที่เข้มงวด เพื่อให้สามารถตอบโจทย์วิสัยทัศน์ในการพัฒนาอุตสาหกรรมยาในประเทศไทยให้ก้าวออกสู่ต่างประเทศ โดยบริษัทฯ ได้เริ่มก่อตั้งขึ้นในปี 2514 โดยกลุ่มแพทย์และเภสัชกร เพื่อผลิตและจำหน่ายยาแผนปัจจุบันที่ได้มาตรฐานให้แก่ โรงพยาบาล คลินิก ร้านขายยาและบริษัทยาทั่วประเทศ มีทุนจดทะเบียนเริ่มต้น 10.5 ล้านบาท และได้มีการขยายงานและเพิ่มทุนอีกเรื่อยๆ
บริษัท สหแพทย์เภสัช จำกัด มี บริษัท กรุงเทพดุสิตเวชการ จำกัด (มหาชน) เป็นผู้ถือหุ้นใหญ่ และยังคงยึดถือแนวปฏิบัติตามนโยบายหลักในเรื่องคุณภาพยาที่ได้มาตรฐาน จนเป็นที่ยอมรับและได้รับความเชื่อถือจากลูกค้าเสมอมา บริษัทฯ มีโรงงานผลิตยาแผนปัจจุบันที่ทันสมัย และได้รับการรับรองมาตรฐานการผลิตตามหลักเกณฑ์และวิธีการที่ดีในการผลิตยา (Good Manufacturing Practice : GMP PIC/s) จากสำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา กระทรวงสาธารณสุข และระบบบริหารคุณภาพ ISO 9001 (Version 2008) จากสถาบันรับรองมาตรฐานไอเอสโอ ในทุกหมวดยาที่ผลิต และ ISO/IEC 17025 สำหรับมาตรฐานห้องปฏิบัติการ จากสำนักมาตรฐานห้องปฏิบัติการกระทรวงสาธารณสุข และรางวัล อย. Quality Award ปี 2558 และ 2559 ในปีนี้ยังได้ทำการขยายธุรกิจ โดยสร้างโรงงานผลิตยาแห่งใหม่บนเนื้อที่ 15 ไร่ ในนิคมอุตสาหกรรมสินสาคร จังหวัดสมุทรสาคร ด้วยงบประมาณ 920 ล้านบาท
บริษัท สหแพทย์เภสัช จำกัด จะทำการผลิตยาเพื่อจำหน่ายในประเทศและส่งออกต่างประเทศ ด้วยความมุ่งมั่นที่จะผลักดันให้ประเทศไทยเป็นศูนย์กลางทางการแพทย์ในระดับสากล เพื่อให้เป็นโรงงานผลิตยาที่ได้มาตรฐานรองรับความต้องการภายในประเทศ รวมถึงส่งออกไปจำหน่ายยังประเทศที่พัฒนาแล้ว เช่น สหภาพยุโรป ญี่ปุ่น ออสเตรเลีย และสหรัฐอเมริกา เป็นต้น
นายวิษณุยังได้กล่าวถึงการลงทุนในครั้งนี้ว่า บริษัทฯ ได้ทำการลงทุนในโครงสร้างพื้นฐานตลอดจนเครื่อง จักรในการผลิตที่ได้มาตรฐานสากล ภายในโรงงานประกอบ ด้วย 4 อาคาร ได้แก่ อาคารที่ 1 ส่วน สำหรับผลิตยาทั่วไป มีเนื้อที่ 6,000 ตารางเมตร ส่วนสำนักงาน ฝ่ายประกันและควบคุมคุณภาพ และฝ่ายวิจัยและพัฒนา มีเนื้อที่ 3,600 ตารางเมตร อาคารที่ 2 ศูนย์กระจายสินค้าและคลังสินค้าสำเร็จรูปมีเนื้อที่ 5,400 ตารางเมตร อาคารที่ 3 อาคารสำหรับผลิตยากลุ่มเพนนิซิลลิน และฝ่ายควบคุมคุณภาพยากลุ่มเพนนิซิลลิน มีเนื้อที่ 1,600 ตารางเมตร อาคารที่ 4 อาคารส่วนสนับสนุนการผลิต (Utility) มีเนื้อที่ 750 ตารางเมตร
โรงงานดังกล่าวมีจุดประสงค์เพื่อผลิตยาแผนปัจจุบันสำหรับผลิตยาที่ไม่ใช่ยาปราศจากเชื้อ (Non-sterile pharmaceutical products) สามารถผลิตยาในรูปแบบ ยาเม็ด ยาเม็ดเคลือบฟิล์ม ยาเม็ดเคลือบน้ำตาล ยาแคปซูล ยาน้ำชนิดใสและชนิดแขวนตะกอน ยาผง และยากึ่งแข็ง เช่น ยาครีม ยาออยท์เมนท์ และยาเจล รวมไปถึงยาในกลุ่มยา เพนิซิลลิน ซึ่งมีการแยกอาคารผลิตและพนักงานออกอย่างเด็ดขาด เพื่อป้องกันการปนเปื้อน ห้องผลิตยาทั้งหมดเป็นห้องสะอาด (Clean room class D) มีระบบอากาศ (HVAC) ที่สามารถควบคุมอุณหภูมิ ความชื้น ความสะอาด และความดันอากาศในแต่ละห้องเพื่อป้องกันการปนเปื้อนทั้งจากภายในและภายนอก และมีกำลังการผลิตยาเม็ด 6,700 ล้านเม็ดต่อปี ยาแคปซูล 1,000 ล้านแคปซูลต่อปี ยาน้ำ 2.8 ล้านลิตรต่อปี ยาผง 175 ตันต่อปี ยากึ่งแข็ง (ขี้ผึ้ง ครีม เจล) 140 ตันต่อปี
ทั้งนี้ ผลิตภัณฑ์ที่ผลิตเสร็จแล้วจะต้องผ่านการตรวจสอบและวิเคราะห์อย่างเข้มงวดจากฝ่ายประกันและควบคุมคุณภาพ เพื่อให้มั่นใจในคุณภาพของยาที่ได้มาตรฐานตามที่ได้ขึ้นทะเบียนไว้กับคณะกรรมการอาหารและยา กระบวนการผลิตและการควบคุมและประกันคุณภาพดำเนินการภายใต้การกำกับดูแลของเภสัชกรที่มีประสบการณ์และมีความรู้ความชำนาญสูง บริษัทฯมีการวางระบบบริหารคุณภาพที่ดีมายาวนาน และมีการควบคุมการปฏิบัติงานด้วยโปรแกรม SAP ในทุกๆ ส่วนอย่างเต็มรูปแบบ
โรงงานนี้มีระบบสนับสนุนการผลิตอย่างสมบูรณ์ เช่น Chiller ทำความเย็น ขนาด 640 ตัน ระบบผลิตน้ำ Purified water สำหรับใช้ในการผลิตได้ถึง 1,500 ลิตรต่อชั่วโมง และยังได้สนับสนุนนโยบายการใช้พลังงานสะอาด โดยติดตั้งแผงวงจรผลิตไฟฟ้าจากพลังแสงอาทิตย์บนหลังคาอาคาร ในเนื้อที่ 6,452 ตารางเมตร ซึ่งสามารถผลิตกระแสไฟฟ้าได้ถึง 0.9 MW ใช้ในโรงงานเพื่อเป็นพลังงานทดแทนที่สะอาด
“เราคาดการณ์ว่า ด้วยศักยภาพของโรงงานใหม่นี้ อัตราการเติบโตของธุรกิจจะต่อเนื่องที่ 30% โดยมีระยะเวลาคุ้มทุนอยู่ที่ 7 ปี ซึ่งเป้าหมายในอนาคตของบริษัทคือ พัฒนาอุตสาหกรรมยาในประเทศไทยให้เป็นผู้นำในกลุ่มประเทศอาเซียน เพื่อตอบสนองนโยบายของรัฐบาลในการส่งเสริมให้ประเทศไทยเป็น Medical Hub ของโลก นอกจากนี้แล้วยังเป็นการสร้างความมั่นคงทางยาของประเทศ ลดการพึ่งพาการนำเข้ายาจากต่างประเทศ และส่งเสริมนโยบายแห่งชาติด้านสาธารณสุขในการเข้าถึงยาของประชาชนอีกด้วย” นายวิษณุกล่าวทิ้งท้าย