จากผลการสำรวจฉบับล่าสุดของ “วีซ่า” พบว่า คนไทยให้ความสำคัญในเรื่องความปลอดภัยมากกว่าความสะดวกสบาย ไม่ว่าจะเป็นเรื่องการชำระเงินด้วยบัตรแบบไร้สัมผัส (Contactless Card) หรือ “โมบาย วอลเล็ต” (Mobile Wallet) ทั้งยังมีแนวโน้มที่จะเลือกใช้วิธีชำระเงินผ่านระบบไร้สัมผัสมากขึ้นเมื่อพวกเขามั่นใจว่ามีมาตรการรักษาความปลอดภัยอยู่ในระดับที่สูงมากพอ
การศึกษาเรื่องวิธีการชำระเงินแบบไร้สัมผัสและกระเป๋าสตางค์ดิจิตอล (Digital Wallet) จัดทำขึ้นโดยบริษัท “ยูโกฟ” (YouGov) ในนามของ “วีซ่า” โดยมีผู้ร่วมตอบแบบสอบถามชาวไทยจำนวน 750 คนเพื่อประเมินทัศนคติสำหรับการชำระเงินผ่านอุปกรณ์เคลี่อนที่และระบบไร้สัมผัส เมื่อเดือนสิงหาคม 2559 พบว่า คนไทยส่วนมาก (82%) เชื่อว่าความปลอดภัยมีความสำคัญมากกว่าความสะดวกสบายเมื่อนึกถึงการชำระเงินผ่านอุปกรณ์เคลื่อนที่ หรือระบบไร้สัมผัสด้วยการเติบโตอันรวดเร็วในด้านเทคโนโลยีทางการเงิน หรือ “ฟินเทค” (FinTech) ที่ภาครัฐบาลและเอกชนกำลังใช้แนวทางต่างๆ เพื่อเพิ่มความมั่นใจให้แก่ผู้บริโภคในการชำระเงินแบบอิเล็กทรอนิกส์ โดยเฉพาะเมื่อมีการทำธุรกรรมทางเงินผ่านอุปกรณ์เคลื่อนที่
ผลสำรวจพบด้วยว่า คนไทยใช้เวลาอยู่กับอุปกรณ์เคลื่อนที่ต่างๆ อย่างสมาร์ทโฟน หรือแท็บเล็ตประมาณ 160 นาทีต่อวัน โดยคาดว่าภายในสิ้นปี 2559 จะมีจำนวนผู้ใช้สมาร์ทโฟนประมาณ 20 ล้านคนในประเทศไทยและคาดว่าจะสูงขึ้นถึง 24.5 ล้านคนภายในปี 2562
อย่างไรก็ตาม แม้ว่าการเข้าถึงอินเทอร์เน็ตและการเป็นเจ้าของอุปกรณ์เคลื่อนที่สำหรับคนไทยอยู่ในอัตราที่สูง แต่ความเข้าใจเกี่ยวกับบริการทางการเงินผ่านอุปกรณ์เคลื่อนที่ยังค่อยเป็นค่อยไป โดยส่วนหนึ่งเกิดจากผู้บริโภคชาวไทยยังไม่ตระหนักถึงความก้าวหน้าของความปลอดภัยในโลกออนไลน์และเทคโนโลยีเท่าที่ควร
นายสุริพงษ์ ตันติยานนท์ ผู้จัดการวีซ่า ประจำประเทศไทย กล่าวว่า จากผลสำรวจพบว่า ยิ่งระบบการชำระเงินผ่านโทรศัพท์มือถือมีความปลอดภัยมาก คนไทยก็จะมีความเชื่อมั่นและเต็มใจที่จะชำระเงินผ่านระบบดังกล่าวมากขึ้นตามไปด้วย ดังนั้นด้วยระบบความปลอดภัยทางการเงินที่แน่นหนาหลายชั้นของ “วีซ่า” จึงมั่นใจว่าเราจะเป็นส่วนหนึ่งในการเพิ่มจำนวนการทำธุรกรรมผ่านโทรศัพท์มือถือในการประเทศไทยได้อย่างแน่นอน
นอกจากนี้ รายงานการศึกษาที่จัดทำโดย “ยูโกฟ” (YouGov) ในนามของ “วีซ่า” ถึง ทัศนคติของคนไทย ควบคู่ไปกับประเทศอื่นๆ ในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ได้แก่ สิงคโปร์และมาเลเซีย ต่อการทำธุรกรรมการเงินผ่านมือถือและระบบไร้สัมผัส (Contactless Payment) ยังพบว่า สิ่งที่คนในกลุ่มประเทศนี้โดยเฉพาะในประเทศไทยยังกลัวมากที่สุดในการชำระเงินด้วย Mobile Wallet คือ กลัวว่าจะมีการแฮ็คมือถือมากถึง 73% ถูกขโมยโทรศัพท์มือถือ 65% และกลัวว่าจะถูกเรียกเก็บเงินจากรายการที่ไม่ต้องการจะจ่ายอีก 63%
“ในจำนวนผู้ทำแบบสอบถามทั้งหมด พบว่า มีเพียง 39% เท่านั้นที่เลือกพิจารณาการใช้ Mobile Wallet จากเครือข่ายบุคคลที่ 3 ซึ่งในกลุ่มที่พิจารณาใช้นี้พบว่ากว่า 74% ทราบว่า Encrypted Token หรือ “โทเค็น” นวัตกรรมรหัสล็อกข้อมูลซึ่งสามารถตัดความเสี่ยงของการโดนโจรกรรมข้อมูลได้” นายสุริพงษ์ กล่าวเพิ่มเติม
บริการ Visa Token Service (VTS) ถูกออกแบบมาเพื่อให้ลูกค้าวีซ่ามั่นใจได้ว่าการชำระเงินแบบไร้สัมผัส (Contactless Payment) และบนสมาร์ทโฟนนั้นทั้งปลอดภัยและง่ายต่อการใช้งาน ระบบ VTS นั้นจะใช้รหัส “โทเค็น” แบบใช้ครั้งเดียวในการชำระเงินแทนข้อมูลของผู้ถือบัตร ฉะนั้นผู้ใช้ Mobile Wallet จึงสามารถชำระเงินได้โดยไม่จำเป็นต้องเผยรายละเอียดของบัญชีและเลขหน้าบัตร 16 หลัก หรือวันหมดอายุของบัตร เป็นต้น
กระบวนการแปลงข้อมูลแบบให้เป็น “โทเค็น” เรียกว่า “Tokenization” ซึ่งจะทำหน้าที่ซ่อนข้อมูลที่สำคัญของผู้บริโภคในระหว่างการทำธุรกรรมการเงินแบบดิจิตอล เมื่ออาชญากรขโมย “โทเค็น” ไปก็ไม่สามรถนำข้อมูลไปใช้ได้จากผลการสำรวจเผยให้เห็นว่าคนไทยประมาณ 55% คุ้นเคยกับรูปแบบการบริการ VTS เป็นอย่างดี ในขณะที่กลุ่มที่รับรู้สูงที่สุดในหมู่คนเหล่านี้ยังคุ้นเคยกับเทคโนโลยีในรูปแบบ Mobile Wallet อีกด้วย
คนไทยเกือบครึ่ง (46%) เชื่อว่าการชำระเงินผ่านอุปกรณ์พกพานั้นปลอดภัยเทียบเท่ากับการชำระเงินผ่านบัตรโดยตรงและมีแนวโน้มว่าตัวเลขนี้จะสูงขึ้นในอนาคตเพราะคนเริ่มคุ้นเคยกับระบบการชำระเงินผ่านโทรศัพท์มือถือที่มีความก้าวหน้าและทันสมัยของวีซ่า
นอกจากนี้ คนไทย 3 ใน 5 (61%) เชื่อว่าในวันหนึ่งข้างหน้าพวกเขาไม่จำเป็นต้องพกเงินสด หรือบัตรพลาสติกในการใช้ชีวิตประจำวันอีกต่อไป และจะถูกแทนที่ด้วยการชำระเงินในรูปแบบ Mobile Wallet ผ่านสมาร์ทโฟนและอุปกรณ์เคลื่อนที่ของพวกเขา
นายสุริพงษ์กล่าวย้ำในตอนท้ายว่า เมื่อคนไทยเริ่มคุ้นเคยกับมาตรการรักษาความปลอดภัยด้วยยนวัตกรรมใหม่ๆ อย่างนวัตกรรม “โทเค็น” ของ “วีซ่า” เมื่อนั้นพวกเขาจะเริ่มเห็นเรื่องการชำระเงินผ่านโทรศัพท์หรือการชำระเงินแบบไร้สัมผัสเป็นเรื่องปกติในชีวิตประจำวันของพวกเขามากยิ่งขึ้น