PwC (ไพร้ซวอเตอร์เฮาส์คูเปอร์ส) หนึ่งในเครือข่ายบริษัทผู้ให้บริการด้านตรวจสอบบัญชี บริการให้คำปรึกษาด้านภาษี และบริการให้คำปรึกษาทางธุรกิจรายใหญ่ของโลก เผยผลสำรวจพบบริษัทในกลุ่มธุรกิจอุตสาหกรรมทั่วโลกตื่นตัวปฏิวัติอุตสาหกรรมครั้งที่ 4 คาดภายใน 5 ปีใช้เม็ดเงินลงทุนกว่า 9.07 แสนล้านเหรียญสหรัฐต่อปี เพื่อเชื่อมเทคโนโลยีและอินเทอร์เน็ตเข้ากับทุกหน่วยการผลิต
ผลสำรวจดังกล่าวระบุด้วยว่า อุตสาหกรรม 4.0 มีส่วนช่วยผลักดันรายได้ด้านดิจิตอลของบริษัทเพิ่มขึ้น 2.9% ต่อปี แถมช่วยลดต้นทุนปีละ 3.6% แต่ธุรกิจยังมีความท้าทาย คือ การขาดวัฒนธรรมดิจิทัลในองค์กรและผู้เชี่ยวชาญเฉพาะ ขณะที่ในส่วนของประเทศไทยพบว่าหน่วยงานภาครัฐและเอกชนเริ่มตื่นตัวหลังรัฐบาลประกาศใช้โมเดลเศรษฐกิจใหม่ภายใต้แนวคิด “ไทยแลนด์ 4.0” คาดต้องใช้เงินลงทุนจำนวนมากเพื่อเปลี่ยนแปลงเข้าสู่ยุคดิจิตอล
น.ส.วิไลพร ทวีลาภพันทอง หุ้นส่วนสายงานที่ปรึกษา บริษัท PwC Consulting (ประเทศไทย) เปิดเผยถึงผลสำรวจ Industry 4.0 : Building the digital enterprise ที่ทำการสำรวจบริษัทในกลุ่มอุตสาหกรรมจำนวนกว่า 2,000 รายจาก 9 อุตสาหกรรม ใน 26 ประเทศว่า ปัจจุบันบริษัทในกลุ่มอุตสาหกรรมต่างๆ ทั่วโลกกำลังตื่นตัวในการปฏิวัติอุตสาหกรรมครั้งที่ 4 (Industry 4.0) โดยเชื่อมเทคโนโลยีและอินเทอร์เน็ตเข้ากับทุกหน่วยการผลิต ตั้งแต่เริ่มต้นจนสิ้นสุดกระบวนการ ถือเป็นยุคที่มีการบรูณาการระบบนิเวศทางดิจิตอลเข้ากับพันธมิตรในห่วงโซ่คุณค่า (Value chain partners) โดยการวิเคราะห์ข้อมูลขั้นสูง (Data analytics) ถือเป็นหัวใจสำคัญของอุตสาหกรรม 4.0 โดยคาดว่าจากนี้จนถึงปี 2563 อุตสาหกรรมทั่วโลกจะลงทุนปีละ 9.07 แสนล้านเหรียญสหรัฐเพื่อปฏิวัติอุตสาหกรรมครั้งที่ 4
เราเห็นกระแสการลงทุนที่เพิ่มขึ้นทั่วโลกเพื่อปฏิวัติอุตสาหกรรมเข้าสู่ยุค 4.0 อย่างเต็มรูปแบบจากบริษัทในกลุ่มอุตสาหกรรม วันนี้ผู้ประกอบการเน้นไปที่การลงทุนในเทคโนโลยีสำคัญๆ เช่น เซ็นเซอร์ หรืออุปกรณ์เชื่อมต่อ ซอฟต์แวร์ และแอปพลิเคชัน เช่น ระบบประมวลผลสถานะและระบบการผลิต รวมไปถึงการฝึกอบรมพนักงาน เพื่อผลักดันให้องค์เกิดการเปลี่ยนแปลงตามที่ต้องการ โดยบริษัทมากกว่าครึ่งที่ทำการสำรวจคาดหวังว่าจะได้รับผลตอบแทนจากการลงทุนกลับคืนมาภายใน 2 ปี
ปัจจุบัน ผู้นำบริษัทในกลุ่มอุตสาหกรรมมีการเปลี่ยนแปลงฟังก์ชันการทำงานภายในองค์กรให้เป็นดิจิทัล รวมทั้งมีการบรูณาการห่วงโซ่อุปทานทั้งในแนวราบและแนวดิ่ง ไม่ว่าเป็นกระบวนการจัดซื้อจัดจ้าง การขนส่งและลอจิสติกส์ ตลอดจนการมีพันธมิตรทางธุรกิจ เช่น ซัปพลายเออร์ คู่ค้าและลูกค้า นอกจากนี้ ยังมีการพัฒนาผลิตภัณฑ์และนวัตกรรมใหม่ๆ ที่มีฟังก์ชั่นการทำงานแบบดิจิทัลและบริการฐานข้อมูลอีกด้วย
จากการสำรวจพบว่า 1 ใน 3 ของบริษัทที่ทำการสำรวจให้คะแนนอัตราการแปลงเป็นดิจิตอลของตน (Digitisation) อยู่ที่ระดับ 33% และคาดว่าจะเพิ่มเป็น 72% ภายใน 5 ปีข้างหน้า นอกจากนี้ยังคาดการณ์ว่า การเปลี่ยนแปลงครั้งนี้จะทำให้ในอีก 5 ปีข้างหน้า รายได้ด้านดิจิตอลของบริษัทในกลุ่มอุตสาหกรรมทั่วโลกจะเพิ่มขึ้นเฉลี่ยปีละ 2.9% หรือคิดเป็นรายได้ต่อปีที่ 4.93 แสนล้านเหรียญสหรัฐ และช่วยลดต้นทุนปีละ 4.21 แสนล้านเหรียญสหรัฐ หรือ 3.6% ต่อปีโดยเฉลี่ย เนื่องจากเทคโนโลยีดิจิตอลจะช่วยให้ย่นระยะการผลิตให้สั้นลง ทำให้สามารถนำสินทรัพย์มาใช้ประโยชน์ได้สูงสุด และเพิ่มคุณภาพสินค้าให้สูงขึ้น
น.ส.วิไลพรกล่าวด้วยว่า หากบริษัททั่วโลกปฏิวัติอุตสาหกรรมครั้งที่ 4 ได้สำเร็จจะทำให้รายได้เพิ่มขึ้นและช่วยลดต้นทุนจำนวนมหาศาล เพราะยุคอุตสาหกรรม 4.0 เป็นการนำเทคโนโลยีอัจฉริยะและข้อมูลแบบเรียลไทม์มาใช้เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการผลิต
“การวิเคราะห์ข้อมูลขั้นสูง” หัวใจสำคัญของอุตสาหกรรม 4.0
จากการสำรวจพบว่า การวิเคราะห์ข้อมูลขั้นสูงจะเป็นกลไกสำคัญในการขับเคลื่อนอุตสาหกรรม 4.0 โดยมากกว่า 80% ของบริษัทที่ทำการสำรวจคาดว่า ในอีก 5 ปีข้างหน้าการวิเคราะห์ข้อมูลจะเข้ามามีอิทธิพลต่อกระบวนการตัดสินใจของพวกเขาอย่างมีนัยสำคัญ เพราะการวิเคราะห์ข้อมูลจะทำให้ทราบถึงความต้องการของลูกค้า ช่วยให้บริษัทสามารถพัฒนาสินค้าและบริการให้ตรงความต้องการของลูกค้าได้อย่างแม่นยำ โดยโรงงานยุค 4.0 จะสามารถผลิตสินค้าได้หลากหลายรูปแบบ และแตกต่างกันตามความต้องการของผู้บริโภคแต่ละราย
อย่างไรก็ดี ความท้าทายของธุรกิจคือ การขาดการปลูกฝังวัฒนธรรมดิจิตอลภายในองค์กรที่เพียงพอ ไม่ว่าจะเป็นวิสัยทัศน์และการฝึกอบรม รวมไปถึงการขาดผู้เชี่ยวชาญด้านดิจิตอล โดยเกือบ 40% ของผู้บริหารที่ทำการสำรวจระบุว่ายังอาศัยความเชี่ยวชาญด้านการวิเคราะห์ของพนักงานแต่ละคนเป็นหลัก แทนที่จะจัดตั้งแผนก หรือหน่วยงานขึ้นมาดูแลและทำการวิเคราะห์ข้อมูลโดยเฉพาะ
นอกจากนี้ ความปลอดภัยของข้อมูลยังเป็นประเด็นสำคัญที่ผู้ประกอบการต้องใส่ใจ โดยการบริหารจัดการความเสี่ยงที่มีประสิทธิภาพและระบบรักษาความปลอดภัยของข้อมูลจะช่วยให้ภาคธุรกิจสามารถป้องกันปัญหาการโจรกรรมข้อมูลและช่วยลดผลกระทบต่อระบบปฏิบัติการในองค์กรอันเป็นผลจากการเปลี่ยนแปลงทางดิจิตอลได้ดียิ่งขึ้น
ในขณะที่บริษัทและอุตสาหกรรมชั้นนำต่างๆ ทั่วโลกต่างเร่งปรับตัวเพื่อรับมือกับยุคของการปฏิวัติอุตสาหกรรมครั้งที่ 4 ผลสำรวจแสดงให้เห็นว่า บูรณาการด้านดิจิตอลขององค์กรทั่วโลกจะอยู่ในระดับที่ไม่แตกต่างกันมากนักในอีก 5 ปีข้างหน้า แต่จะมีบางประเทศ เช่น เยอรมนี สหรัฐอเมริกา และญี่ปุ่น เป็นประเทศผู้นำการปฏิวัตินี้
ยกตัวอย่าง เช่น บริษัทในประเทศเยอรมนีและญี่ปุ่นซึ่งเป็นผู้มีความพร้อมมากที่สุดจะเน้นไปที่การแปลงเป็นดิจิตอลทั้งในส่วนของการดำเนินงานภายในองค์กรและสร้างพันธมิตรในแนวราบ ส่วนในสหรัฐอเมริกาจะเกิดรูปแบบการทำธุรกิจใหม่ๆ มากขึ้นเป็นผลมาจากการปรับเปลี่ยนสินค้าและบริการให้เป็นดิจิตอลของผู้ประกอบการ ขณะที่บริษัทผู้ผลิตในประเทศจีนจะเน้นไปที่การลดต้นทุนเพื่อเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันกับคู่แข่งจากต่างประเทศ
สำหรับประเทศไทย ปัจจุบันรัฐบาลได้ปรับเปลี่ยนโครงสร้างเศรษฐกิจใหม่ ภายใต้โมเดลที่เรียกว่า “ประเทศไทย 4.0”ภายในระยะเวลา 3-5 ปี โดยจะเป็นเศรษฐกิจที่เน้นการขับเคลื่อนด้วยนวัตกรรม (Value-Based Economy) เปลี่ยนการผลิตสินค้าโภคภัณฑ์ไปสู่สินค้าเชิงนวัตกรรม เปลี่ยนจากการขับเคลื่อนประเทศด้วยอุตสาหกรรมไปสู่การขับเคลื่อนด้วยเทคโนโลยีและดิจิตอล ลอดนเปลี่ยนจากการเน้นภาคการผลิตไปสู่ภาคการบริการมากขึ้น ซึ่งหากทำสำเร็จจะสามารถเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันให้แก่ประเทศได้อย่างมากและน่าจะช่วยขับเคลื่อนให้เศรษฐกิจของประเทศเติบโตอย่างยั่งยืนได้ในระยะยาวอีกด้วย
“การเปลี่ยนแปลงครั้งนี้ถือเป็นความท้าทายของภาครัฐในการเตรียมความพร้อมด้านโครงสร้างพื้นฐานดิจิตอลที่สมบูรณ์ รวมทั้งการขยายเครือข่ายอินเทอร์เน็ตให้ครอบคลุมทั่วประเทศเพื่อเป็นรากฐานในการก้าวไปสู่ยุค 4.0 ซึ่งคาดว่าจะต้องใช้เงินลงทุนด้านนี้เป็นจำนวนมหาศาล ขณะที่ผู้ประกอบการไทยก็เริ่มตื่นตัวในการวิจัยและพัฒนานวัตกรรมใหม่ๆ เพื่อสร้างมูลค่าเพิ่มในสินค้าและบริการของตนเอง โดยหลายบริษัทเริ่มกันเงินงบประมาณส่วนหนึ่งเพื่อลงทุนด้านดิจิทัลไว้ด้วยเช่นกัน” น.ส.วิไลพรกล่าวในตอนท้าย