ผู้จัดการรายวัน 360 - “ฮันนี่เวลล์” ผู้นำด้านเทคโนโลยีระดับโลก เผยยุทธศาสตร์ 5 ปีเจาะตลาดภูมิภาคที่มีศักยภาพในการเติบโตสูง ทั้งไทย อินโดฯ มาเลย์ ฟิลิปปินส์ ตุรกี เม็กซิโก บราซิล และแอฟริกา หลังช่วง 10 ปีทำรายได้เพิ่มขึ้น 3 เท่าเป็น 9 พันล้านเหรียญสหรัฐในปี 58 หวังปี 60 สร้างการเติบโต 55% จากรายได้รวมที่ทำได้ 38.6 พันล้านเหรียญสหรัฐ ในปี 58
นายไบรอันด์ เกรียร์ ประธานบริษัท ฮันนี่เวลล์ ภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ เปิดเผยว่า “ฮันนี่เวลล์” (Honeywell) เป็นบริษัทชั้นนำด้านการผลิตและเทคโนโลยีติดอันดับ 100 บริษัทใหญ่ที่สุดในโลก จัดอันดับโดยนิตยสารฟอร์จูน (Fortune 100) นำเสนอผลิตภัณฑ์และบริการหลากหลายประเภท ได้แก่ ด้านอากาศยานและการบิน เทคโนโลยีการควบคุมสำหรับอาคารบ้านเรือนและโรงงานอุตสาหกรรม เทอร์โบชาร์จเจอร์ และด้านวัตถุดิบประสิทธิภาพและเทคโนโลยีให้ลูกค้าทั่วโลก
ในปี 2558 “ฮันนี่เวลล์” มียอดขายรวมทั่วโลก 38.6 พันล้านเหรียญสหรัฐ คิดเป็นยอดขายนอกบริษัทแม่ในสหรัฐอเมริกา 53% โดยช่วงที่ผ่านมาให้ความสำคัญในตลาดหลัก คือ จีน อินเดีย และตะวันออกกลาง แต่ล่าสุดได้กำหนดยุทธศาสตร์ 5 ปี (2559-2563) ในการให้ความสำคัญต่อภูมิภาคที่มีศักยภาพในการเติบโตสูง (High Growth Regions : HGR) เนื่องจากพบว่า 95% ของจำนวนประชากรทั้งโลกและจีดีพีมากกว่า 75% มาจากภูมิภาคเหล่านี้
ภูมิภาคที่มีศักยภาพในการเติบโตดังกล่าว ได้แก่ ประเทศไทย อินโดนีเซีย มาเลเซีย ฟิลิปปินส์ เอเชียกลาง ตุรกี เม็กซิโก บราซิล และแอฟริกา ซึ่งพบว่าในรอบ 10 ปีที่ผ่านมา “ฮันนี่เวลล์” มีรายได้เพิ่มขึ้นถึง 3 เท่าจาก 3 พันล้านเหรียญสหรัฐ ในปี 2548 เป็น 9 พันล้านเหรียญสหรัฐ ในปี 2558 โดยคาดว่าจะมีอัตราการเติบโตกว่า 55% ภายในปี 2560 เนื่องจากมีชุมชนเมืองที่ขยายตัวอย่างรวดเร็ว ส่งผลให้ประชากรกลุ่มชนชั้นกลางเพิ่มมากขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ ส่งผลให้มีความต้องการพลังงานและทรัพยากรต่างๆ รวมถึงมีการลงทุนขนาดใหญ่ในการสร้างโครงสร้างขั้นพื้นฐานอย่างต่อเนื่อง
นายไบรอันด์กล่าวอีกว่า สำหรับ “ฮันนี่เวลล์ ภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้” รับผิดชอบดูแล 4 ประเทศ ได้แก่ สิงคโปร์ มาเลเซีย ไทย และฟิลิปปินส์ มีหน้าที่กำหนดทิศทางด้านกลยุทธ์และการดำเนินงานใน 3 ธุรกิจหลัก ประกอบด้วย 1. อุปกรณ์อัตโนมัติและโซลูชันด้านระบบควบคุมต่างๆ (Automation and Control Solutions) 2. วัตถุดิบประสิทธิภาพและเทคโนโลยี (Performance Materials and Technologies) และ 3. การบินและอวกาศ (Aerospace) ให้สอดคล้องกับความเป็นผู้นำของบริษัทในระดับโลก
ส่วนในประเทศไทย “ฮันนี่เวลล์” มีบริษัทในเครือ 3 แห่ง ได้แก่ บริษัท ฮันนี่เวลล์ ซิสเต็มส์ (ประเทศไทย) จำกัด ตั้งอยู่ในกรุงเทพฯ และจังหวัดระยอง บริษัท ฮันนี่เวลล์ อิเล็คทรอนิกส์ แมธิเรียลส์ (ประเทศไทย) จำกัด ตั้งอยู่ใน จ.ชลบุรี ซึ่งถือเป็นหนึ่งในโรงงานผลิตอุปกรณ์ไฟฟ้าและอิเล็กทรอนิกส์ของ “ฮันนี่เวลล์” ที่ดีที่สุดในโลก และ บริษัท ฮันนี่เวลล์ โฮลดิงส์ (ประเทศไทย) จำกัด ตั้งอยู่ในกรุงเทพฯ
“ในปี 2558 ฮันนี่เวลล์มียอดขายในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้คิดเป็นมูลค่ารวมกว่า 500 ล้านเหรียญสหรัฐ โดยมั่นใจว่าจะยังคงมีการเติบโตเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องประมาณ 2 หลัก โดยเฉพาะในประเทศไทยมีเป้าหมายสร้างการเติบโตสูงกว่าจีดีพีเฉลี่ยของประเทศอย่างน้อย 2 เท่าตัวเป็นเวลาต่อเนื่อง 5 ปี โดยในปี 2560 จะมีการลงทุนด้านการพัฒนาบุคลากรระดับสูงอย่างน้อย 30-50 คน หลังจากที่ปี 2558 มีการลงทุนปรับปรุงเครื่องจักรในโรงงานที่ จ.ชลบุรี ประมาณ 50 ล้านบาท”
นายไบรอันด์กล่าวด้วยว่า ประเทศไทยกำลังพัฒนาไปสู่เศรษฐกิจที่สร้างมูลค่าสูงที่เน้นด้านอุตสาหกรรมการผลิต บริษัทหลายแห่งจึงให้ความเชื่อมั่นต่อการพัฒนาของ “อินเทอร์เน็ต ออฟ ธิงส์” (IoT) มากขึ้น “ฮันนี่เวลล์” จึงมุ่งเป็นกิจการอุตสาหกรรมไซเบอร์ชั้นนำในการให้การสนับสนุนและส่งเสริมความก้าวหน้าด้าน “อินเทอร์เน็ต ออฟ ธิงส์ สำหรับอุตสาหกรรม” (Industrial IoT : IIoT) เพื่อช่วยเปิดโอกาสใหม่ๆ ให้แก่อุตสาหกรรมด้านความปลอดภัย การเพิ่มผลผลิต การเตรียมความพร้อมในองค์กรและความสามารถในการทำผลกำไรขององค์กร ด้วยการใช้ประโยชน์จากข้อมูลที่หลากหลายของระบบคลาวด์ซึ่งจะเริ่มพัฒนาและเห็นผลได้ในปี 2560