xs
xsm
sm
md
lg

ส่อง ศก.ไทยครึ่งหลังขยับทั้งปียังโตได้ 3-3.5% เตือนรับมือบาทแข็งได้อีก

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: MGR Online


“ส.อ.ท.” เปิดเวทีส่องภาวะเศรษฐกิจไทยครึ่งปีหลังภาพรวมการลงทุนจากรัฐและเอกชนยังเป็นแรงส่งสำคัญในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจ “สภาพัฒน์” มองทั้งปีเศรษฐกิจไทยยังโตได้ 3-3.5% แต่เตือนรับมือค่าบาทอาจแข็งค่าขึ้นอีก บีโอไอมั่นใจยื่นรับลงทุนปีนี้ทะลุเป้า 4.5 แสนล้านบาท ส่วนเอกชนประเมินส่งออกทั้งปียัง -2% หวังเห็นบาทไม่ต่ำกว่า 34.50 บาทต่อเหรียญ

นายวิชญายุทธ บุญชิต รักษาการที่ปรึกษาด้านนโยบายและแผนงาน สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สศช.) หรือสภาพัฒน์ เปิดเผยว่า ภาพรวมเศรษฐกิจไทยครึ่งปีหลังจะเริ่มฟื้นตัวจากการเบิกจ่ายงบประมาณ และการลงทุนของภาครัฐที่สูงขึ้น ภาวะภัยแล้งที่ลดลง และการท่องเที่ยวที่ยังคงขยายตัวทำให้ทั้งปียังมั่นใจว่าผลิตภัณฑ์มวลรวมในประเทศ (GDP) จะยังเติบโต 3-3.5% เมื่อเทียบกับปีที่ผ่านมา

“ลงทุนภาครัฐทั้งปีมองว่าจะโต 12% ซึ่งคิดเป็น 0.6% ของ GDP ในปีนี้ที่คาดว่าจะโต 3-3.5% เพราะขณะนี้โครงการลงทุนและการเบิกจ่ายงบของรัฐมีการเติบโตมากและจะมากขึ้นในครึ่งปีหลังโดยเฉพาะการลงทุนโครงสร้างพื้นฐานของรัฐที่วางไว้ 20 โครงการมูลค่ากว่า 1 ล้านล้านบาท ล่าสุดมีการทยอยก่อสร้างแล้ว 4 โครงการมูลค่ากว่า 5 หมื่นล้านบาท และอยู่ระหว่างการประกวดราคาอีก 7 โครงการมูลค่ากว่า 4.5 แสนล้านบาท ซึ่งน่าจะทยอยก่อสร้างได้ในครึ่งปีหลัง และอยู่ระหว่างการนำเสนอคณะรัฐมนตรี (ครม.) อีก 2.49 แสนล้านบาท ที่เหลืออยู่ระหว่างการศึกษา” นายวิชญายุทธ กล่าว

สำหรับปัจจัยเสี่ยงครึ่งปีหลังต่อภาวะเศรษฐกิจ คือ 1. ภาวะเศรษฐกิจโลกที่ยังเปราะบาง 2. ราคาสินค้าเกษตรที่ยังไม่ปรับเพิ่มมากนักตามทิศทางราคาน้ำมัน 3. ความผันผวนของค่าเงินบาทที่มีสัญญาณว่าจะแข็งค่ามากขึ้นกว่าครึ่งปีแรกหากอังกฤษเจรจามีความคืบหน้าในการออกจากการเป็นสมาชิกสหภาพยุโรป (อียู) หรือ Brexit ชัดเจนขึ้น และ 4. สถาบันการเงินยังคงเข้มงวดการปล่อยสินเชื่อ

นายนฤตม์ เทอดสถีรศักดิ์ ผู้อำนวยการสำนักยุทธศาสตร์และนโยบายการลงทุน สำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน (บีโอไอ) กล่าวว่า การลงทุนครึ่งปีหลังคาดว่าจะมีความต่อเนื่องมากขึ้นจากต่างประเทศโดยเฉพาะจากนักลงทุนญี่ปุ่นและจีน โดยคาดว่าทั้งปีจะเกินเป้าหมายที่วางไว้ จะมีโครงการยื่นขอรับส่งเสริมการลงทุน 4.5 แสนล้านบาทเนื่องจากครึ่งปีแรกมีการขอรับฯ ไปแล้วถึง 3.03 แสนล้านบาท

นายวัลลภ วิตนากร รองประธาน ส.อ.ท. กล่าวว่า การส่งออกทั้งปีคาดว่าจะอยู่ในช่วงลบ 2-0% โดยครึ่งปีหลังการส่งออกจะฟื้นตัวได้เล็กน้อยจากครึ่งปีแรกที่ติดลบ 1.59% แต่ไทยก็ถือว่ามีการติดลบน้อยมากเมื่อเทียบกับประเทศอื่นๆ อย่างไรก็ตาม สิ่งที่จะต้องติดตามคือค่าเงินบาทที่เริ่มแข็งค่ามาอยู่ระดับ 34.70 บาทต่อเหรียญสหรัฐ ซึ่งเอกชนต้องการเห็นการแข็งค่าที่เกิดจากภาวะการผลิตที่แท้จริงมากกว่า และหากเป็นไปได้ต้องการเห็นค่าเงินบาทอยู่ไม่ต่ำกว่า 34.50 บาทต่อเหรียญ

นายมนูญ ศิริวรรณ ผู้เชี่ยวชาญด้านพลังงาน กล่าวว่า ราคาน้ำมันดิบครึ่งปีหลังน่าจะอยู่ในระดับ 38-50 เหรียญสหรัฐต่อบาร์เรล ซึ่งก็จะทำให้ภาพรวมราคาน้ำมันขายปลีกของไทยยังอยู่ในระดับต่ำ แต่สิ่งหนึ่งที่รัฐต้องมองคือขณะนี้ราคาเนื้อน้ำมันเบนซินและดีเซลเฉลี่ยเพียง 13 บาทต่อลิตร แต่การส่งเสริมพลังงานทดแทนด้วยการเติมเอทานอลในเบนซินในการขายแก๊สโซฮอล์โดยเอทานอลราคาเฉลี่ยลิตรละ 22 บาทกว่า และไบโอดีเซล (บี 100) ที่ผสมดีเซลเป็นบี 5 ขณะนี้สูงถึง 40 บาทต่อลิตรรัฐจะแก้ไขอย่างไร
กำลังโหลดความคิดเห็น