อคส.เตรียมเสนอบอร์ดวันที่ 28 มิ.ย.นี้ เคาะใช้ พ.ร.บ.ร่วมทุนเปิดให้เอกชนยื่นประมูลพัฒนาที่ดินริมแม่น้ำย่านราษฎร์บูรณะทำชอปปิ้งมอลล์คล้ายเอเชียทีค หวังใช้หาเลี้ยงตัวเองให้ได้ หลังไม่มีรายได้จากโครงการจำนำข้าวและสินค้าเกษตร
พล.ต.ต.ไกรบุญ ทรวดทรง ประธานคณะกรรมการองค์การคลังสินค้า (บอร์ด อคส.) เปิดเผยว่า ในวันที่ 28 มิ.ย. 2559 จะมีการประชุมบอร์ด อคส. ซึ่งจะมีการพิจารณาแผนพัฒนาที่ดินย่านราษฎร์บูรณะจำนวน 20 ไร่ของ อคส. ซึ่งเป็นที่ดินติดริมแม่น้ำเจ้าพระยาใกล้กับสะพานแขวนพระราม 9 โดยจะนำมาพัฒนาเป็นแหล่งชอปปิ้งและที่ท่องเที่ยวแห่งใหม่ (คอมมูนิตี้มอลล์) ของกรุงเทพฯ โดยรูปแบบจะคล้ายๆ กับเอเชียทีค และจะกันพื้นที่ส่วนหนึ่งสำหรับทำเป็นศูนย์เรียนรู้และแปลงสาธิตการเกษตรแบบเศรษฐกิจพอเพียง
โดยตามแผนการพัฒนาจะใช้ พ.ร.บ.การให้เอกชนร่วมทุนในกิจการของรัฐ พ.ศ. 2556 หรือ พ.ร.บ.ร่วมทุนฉบับใหม่มาดำเนินการ โดยเปิดให้เอกชนที่สนใจเข้าร่วมประมูลเสนอแผนธุรกิจเพื่อร่วมลงทุนกับ อคส. โดยจะมีการพิจารณาแนวทางและรูปแบบการลงทุน และการแบ่งสัดส่วนรายได้ หลังจากได้รูปแบบการร่วมทุนแล้วจะเสนอคณะรัฐมนตรี (ครม.) พิจารณา โดยตั้งเป้าที่จะดำเนินการในเรื่องของการจัดหาเอกชนเข้ามาร่วมทุนดำเนินโครงการให้ได้ภายในปีนี้
“ตอนแรกจะเปิดให้สัมปทาน แต่ผู้ที่เกี่ยวข้องบอกว่าน่าจะเป็นการร่วมทุนระหว่างรัฐกับเอกชนน่าจะดีกว่า เพราะเอกชนมีความคล่องตัวการบริหารจัดการ ซึ่ง อคส.จะเปิดให้เอกชนไทยเข้าร่วมเสนอแผนการลงทุน ส่วนนักลงทุนต่างชาติก็ไม่ได้ปิดกั้น แต่อยากเปิดโอกาสให้คนไทยก่อน มั่นใจว่าหากโครงการนี้เดินหน้าได้จะช่วยให้ อคส.มีรายได้เลี้ยงตัวเองตามแผนได้แน่นอน เพราะขณะนี้ อคส.ไม่มีรายได้ที่มาจากค่าธรรมเนียมในการบริหารจัดการโครงการรับจำนำข้าวและสินค้าเกษตรอื่นๆ แล้ว” พล.ต.ต.ไกรบุญกล่าว
สำหรับพื้นที่คลังราษฎร์บูรณะมีพื้นที่ 20 ไร่ ติดริมแม่น้ำเจ้าพระยา ปัจจุบันเป็นคลังสินค้าจำนวน 5 หลัง และมีห้องเย็น 9 ห้อง รวมทั้งท่าเทียบเรือ ซึ่งให้บริการท่าเทียบเรือเดินสมุทรขนาดไม่เกิน 380 ฟุต โดยปัจจุบันเปิดให้เอกชนเช่าพื้นที่ และให้องค์การเภสัชกรรมเช่าเก็บยาและเวชภัณฑ์ มีรายได้ 39 ล้านบาทต่อปี และหาก อคส. นำที่ดินผืนดังกล่าวมาพัฒนาให้เกิดประโยชน์ คาดว่าน่าจะช่วยให้ อคส.มีรายได้สามารถเลี้ยงตัวเองไปได้กว่า 20 ปี
นอกจากนี้ อคส.ยังมีพื้นที่บริเวณคลังสินค้าธนบุรีหรือย่านบุคคโลอีกแปลงประมาณ 19 ไร่ ซึ่งติดกับแม่น้ำเจ้าพระยาเช่นกันที่จะสามารถนำมาพัฒนาได้อีก และมีคลังสินค้าที่ให้เอกชนเช่า 4 หลัง และมีท่าเทียบเรือหรือเรือโป๊ะ จำนวน 2 ท่า โดยให้เอกชนเช่าและใช้เก็บเอกสารและอุปกรณ์คอมพิวเตอร์ของ อคส. มีรายได้ 18 ล้านบาทต่อปี