ผู้จัดการรายวัน 360 - “ไลก้า” เยอรมนี ปรับนโยบายผุดบริษัทร่วมทุนในตลาดสำคัญ นำร่องไทยในเซาท์อีสเอเชีย ผนึก “เอ-ลิส” คู่ค้ารายใหม่ เปิดฉากลุยไลก้าในไทย พร้อมปรับลดราคาเท่าที่เยอรมนี อัดกลยุทธ์ตลาดเต็มที่ ผุดป็อปอัพสโตร์ตลอดปี ดันยอดขายไลก้าทะลุ 400 ล้านบาทปี 2560
นายดนัย สรไกรกิติกูล กรรมการผู้จัดการ บริษัท เอ-ลิส คอร์ปอเรชั่น จำกัด เปิดเผยว่า บริษัทฯ ได้รับการแต่งตั้งให้เป็นผู้นำเข้าและจำหน่ายผลิตภัณฑ์กล้องไลก้า (Leica) จากประเทศเยอรมนีรายเดียวในไทย เริ่มมีผลเป็นทางการตั้งแต่วันที่ 1 เมษายน 2559 จากเดิมที่มีร้านอื่นทำในไทยมาแล้ว 2 รายในช่วง 5-6 ปีที่ผ่านมา และในอนาคตจะมีการตั้งบริษัท ไลก้า (ประเทศไทย) จำกัด ขึ้นมาในการร่วมทุนจากทั้งสองฝ่าย ซึ่งเป็นไปตามนโยบของไลก้าเยอรมนีที่มองว่าประเทศไทยเป็นตลาดที่สำคัญและมีศักยภาพก็ต้องการการร่วมทุน เช่นใน ฮ่องกง จีน และญี่ปุ่น เป็นต้น และไทยถือเป็นประเทศแรกในเซาท์อีสเอชียที่ไลก้าร่วมทุนด้วย คาดว่าจะดำเนินการแล้วเสร็จในปีหน้า
ทั้งนี้ ไลก้าจะเป็นสินค้าแบรนด์ใหม่ของบริษัทฯ และเป็นการแตกไลน์สู่ผลิตภัณฑ์ไลฟ์สไตล์จากเดิมที่เน้นเพียงสินค้าแฟชั่น เสื้อผ้า เครื่องหนัง เป็นหลัก คือ สินค้าแบรนด์ตัวเอง คือ DISAYA, BOUDOIOR BY DISAYA, SOMETHING BOUDOIR และ TOS ส่วนแบรนด์ที่นำเข้ามาจัดจำหน่ายคือ CHOLE, JIMMY CHOO, VALENTINO และล่าสุดคือ LEICA
สำหรับแผนธุรกิจของไลก้า ขณะนี้มีชอปแฟลกชิปสโตร์เดิมที่เกษรพลาซ่า พื้นที่ 130 ตารางเมตร และจะมีการเปิดร้านแบบป็อปอัพสโตร์ตลอดทั้งปีหมุนเวียนไปหลายที่ เช่น เดือนหน้าเปิดที่สยามดิสคัฟเวอรีเซ็นเตอร์ นาน 6 เดือน และเดือนพฤศจิกายนเปิดที่เซ็นทรัลเอมบาสซี ถึงเดือนกุมภาพันธ์ 2560 และจะเปิดคีออสก์ถาวรที่ดิ เอมโพเรียม ขายกล้องราคา 20,000-50,000 บาท และขายผ่านดีลเลอร์หลักอีก 3 ราย รวมทั้งจะขยายเข้าสู่เชนสโตร์ เช่น เพาเวอร์บาย จำนวน 5 สาขา และเชนเพาเวอร์มอลล์เฉพาะรุ่นพรีเมียม
เป้าหมายของไลก้า คาดว่าจะมียอดขายเพิ่มขึ้น 2 เท่าจากเดิมที่ไลก้าทำตลาดมาก่อนหน้านี้ประมาณ 200 ล้านบาทต่อปี หรือตั้งเป้าหมายมีรายได้ประมาณ 400 ล้านบาทในปี 2560 ซึ่งผลิตภัณฑ์จะมีราคาที่หลากหลาย เช่น กล้องประมาณ 10 รุ่น ราคาตั้งแต่ 25,000 บาทขึ้นไป แต่หากรวมทุกผลิตภัณฑ์จะมีประมาณ 50 กว่ารายการ อย่างไรก็ตาม ไลก้าไม่ได้ออกสินค้าใหม่ๆ ถี่มาก
โดยบริษัทฯ จะใช้งบการตลาด 10 ล้านบาท และเพิ่มทุกปี เพื่อดำเนินการตลาดอย่างเต็มที่ในทุกรูปแบบ เช่น การจัดอบรมเวิร์กชอป การเปิดประมูลกล้อง การสร้างประสบการณ์ใหม่ๆ ให้แก่ลูกค้าในรูปแบบอื่นๆ การรวมกลุ่มของผู้ใช้ไลก้าจัดกิจกรรมร่วมกัน การจัดนิทรรศการผ่านช่างภาพที่ใช้ไลก้า และมีแผนที่จะขยายกลุ่มเป้าหมายไปยังผู้ใช้กล้องทั่วไป กลุ่มวัยรุ่น และจะมีการปรับพื้นที่สาขาเกษรให้มีบริการที่เพิ่มขึ้น
“ตลาดกล้องในไทยยังมีโอกาสเติบโตอีกมาก สำหรับไลก้าเป็นกล้องที่มีความเป็นไลฟ์สไตล์ค่อนข้างสูง แต่ไลก้าไม่ได้ออกสินค้ารุ่นใหม่ต่อเนื่องเหมือนแบรนด์อื่น เราจึงเลือกใช้กลยุทธ์ราคามาทำตลาด ซึ่งราคาของเราไม่ต่างจากที่เยอรมนีมากนัก เพราะทางเยอรมนีสนับสนุนเต็มที่ ซึ่งตั้งแต่วันที่ 1 เมษายนที่ผ่านมาทางไลก้าที่สิงคโปร์ก็ปรับลดราคาลง 5-20% แล้วแต่รุ่น และที่ไทยเราก็ปรับลดราคาเลนส์ลงมา 10%” นายดนัยกล่าว
นายดนัยกล่าวด้วยว่า ปัจจุบันบริษัทฯ มีรายได้รวมปีที่แล้วประมาณ 600 กว่าล้านบาท โดยมีสัดส่วนรายได้หลักจากแบรนด์ วาเลนติโน แบรนด์ดิษยา ซึ่งจะมีการปรับครั้งใหญ่เดือนสิงหาคมนี้ ช่วงไตรมาสแรกปี 2559 นี้ ยอดขายรวมเติบโต 30% ทุกปีจะเฉลี่ยเติบโตที่ 20-60% และคาดว่าในปีนี้จะมียอดขายรวม 800 ล้านบาท และยังมีแผนที่จะเพิ่มสินค้าและแบรนด์ใหม่ต่อเนื่อง ส่วนไลก้าพร้อมที่จะไปอยู่ในบริษัทร่วมทุนอันใหม่เมื่อดำเนินการแล้วเสร็จ