xs
xsm
sm
md
lg

PFP ไม่หวั่นปัญหาอียู เร่งยอดขาย 5 พันล้าน

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: MGR Online

“ทวี ปิยะพัฒนา” (กลาง) ประธานกรรมการบริหาร กลุ่มบริษัท พี.เอฟ.พี., “ธวัชชัย รัตนพิสิฐ” (ขวา) กรรมการบริหาร และ “ปิยกาญจน์ ปิยะพัฒนา” (ซ้าย) กรรมการบริหาร
ผู้จัดการรายวัน 360 - ผู้นำผลิตภัณฑ์อาหารทะเลแปรรูปแช่แข็งแบรนด์ PFP มั่นใจกระบวนการผลิตและการตรวจสอบถูกต้องและโปร่งใส ไม่ได้รับผลกระทบจากปัญหาอียู “ขู่” แบนสินค้าประมงไทย เดินแผนนำเครื่องจักรเพิ่มกำลังการผลิตแทนแรงงาน มุ่งยอดขายในประเทศและส่งออกเติบโตขึ้น 15% สู่เป้าหมาย 5 พันล้านบาท พร้อมเร่งหาพันธมิตรผุดโรงงานใหม่ในอินโดนีเซีย หรือมาเลเซีย

นายทวี ปิยะพัฒนา ประธานกรรมการบริหาร กลุ่มบริษัท พี.เอฟ.พี. ผู้นำด้านการผลิตและจัดจำหน่ายผลิตภัณฑ์อาหารทะเลแปรรูปแช่แข็งภายใต้แบรนด์ PFP เปิดเผยว่า ปัจจุบันบริษัทฯ มีผลิตภัณฑ์ทั้งสิ้น 8 กลุ่ม ได้แก่ กลุ่มปูอัด, กลุ่มเต้าหู้ปลา, กลุ่มชุบเกล็ดขนมปัง, กลุ่มลูกชิ้นปลา, กลุ่มไส้กรอกปลา, กลุ่มแฟนซี, กลุ่มสินค้านำเข้า และกลุ่มอื่นๆ รวม 90 ชนิด คิดเป็นจำนวน 950 เอสเคยู

ในช่วงที่ผ่านมาบริษัทฯ มีนโยบายนำเครื่องจักรแขนกล (Robot) มาใช้ในกระบวนการผลิตเพื่อทดแทนแรงงานมากขึ้น จนปัจจุบันมีกำลังการผลิตรวมทั้งสิ้น 2.5 ตันต่อเดือน แบ่งเป็นโรงงาน 1 ผลิต 6 ชนิดผลิตภัณฑ์ เป็นจำนวน 400 ตันต่อเดือน ส่วนโรงงาน 2 ผลิต 84 ชนิด จำนวน 2.1 พันตันต่อเดือน คิดเป็นการผลิตภายใต้แบรนด์ PFP 95% และ OEM 5%

บริษัทฯ ยึดนโยบายสำคัญในการดำเนินธุรกิจมาตลอดระยะเวลา 30 ปี คือ การควบคุมคุณภาพวัตถุดิบและส่วนผสมตั้งแต่การคัดเลือกจนถึงการผลิต การบรรจุภัณฑ์ ตลอดจนการส่งมอบผลิตภัณฑ์ให้ลูกค้า โดยให้ความสำคัญในเรื่องกระบวนการตรวจสอบย้อนหลังได้ตลอดกระบวนการตั้งแต่ปลาที่ถูกจับมาโดยเรือประมงลำใด รวมไปถึงการใช้แรงงานต่างด้าวอย่างถูกกฎหมายและให้การดูแลด้วยสวัสดิการต่างๆ เป็นอย่างดี จึงทำให้ไม่ได้รับผลกระทบต่อปัญหาที่กลุ่มสหภาพยุโรป (อียู) จะสั่งแบนสินค้าประมงไทยแต่อย่างใด

“ปัจจุบันบริษัทฯ ใช้วัตถุดิบหลักจากประเทศเวียดนาม 60% ไทย 30% และสหรัฐอเมริกา 10% โดยยังคงมีแผนขยายโรงงานไปยังประเทศมาเลเซียและอินโดนีเซียเพิ่มเติมในลักษณะร่วมลงทุนกับพันธมิตรท้องถิ่น ขณะที่ในปี 2559 ตั้งเป้ารายได้เติบโตประมาณ 15% คิดเป็นยอดขายประมาณ 5 พันล้านบาท แบ่งเป็นตลาดในประเทศรวมการค้าชายแดน 60% และส่งออก 40% โดยมีเอเยนต์ใน 21 ประเทศทั่วโลกครอบคลุมทวีปเอเชีย ยุโรป และสหรัฐอเมริกา” นายปิยะกล่าวในตอนท้าย

ด้าน นายธวัชชัย รัตนพิสิฐ กรรมการบริหาร กลุ่มบริษัท พี.เอฟ.พี. กล่าวว่า ในโอกาสที่บริษัทฯ ดำเนินธุรกิจครบ 30 ปีในปี 2559 ได้จัดแคมเปญ “PFP 30 ปี ลุ้นทวีโชค” ชิงของรางวัลมูลค่ากว่า 2.5 ล้านบาท จากงบประมาณการตลาดรวม 30 ล้านบาท โดยในส่วนของตลาดในประเทศจะขยายช่องทางจัดจำหน่ายที่มีอยู่ให้ครอบคลุมมากขึ้นทั้งในส่วนค้าปลีกและค้าส่ง คิดเป็นสัดส่วนตลาดสด 85-90% และโมเดิร์นเทรด รวมถึงร้านอาหาร โรงแรม และจัดเลี้ยง หรือ Horeca 10-15%

“บริษัทฯ ยังมีแผนขยายสาขาร้านจำหน่ายผลิตภัณฑ์ PFP เพิ่มขึ้นในลักษณะอาคารพาณิชย์ 1 คูหา ใช้งบลงทุนสาขาละประมาณ 1 ล้านบาท จากปัจจุบันที่มีประมาณ 7-8 แห่ง คือ พระราม 3, ตลาดยิ่งเจริญ, มีนบุรี, สมุทรปราการ, มหาชัย ชุมพร ฯลฯ”

นายธวัชชัยกล่าวด้วยว่า ในส่วนของตลาดต่างประเทศตั้งเป้าเติบโตขึ้น 10% โดยใช้ 4 กลยุทธ์สำคัญ คือ 1. พัฒนาผลิตภัณฑ์ใหม่เพื่อตอบสนองความต้องการลูกค้าที่เปลี่ยนไป 2. รักษาฐานลูกค้าเก่าและส่วนแบ่งการตลาดไม่ให้ต่ำกว่า 10% 3. เพิ่มปริมาณการซื้อของลูกค้าเก่า 5-10% 4. แสวงหาลูกค้าใหม่เพิ่มขึ้น

น.ส.ปิยกาญจน์ ปิยะพัฒนา กรรมการบริหาร กลุ่มบริษัท พี.เอฟ.พี. กล่าวเสริมว่า ผลิตภัณฑ์ PFP ถือเป็นสินค้ากลุ่มระดับกลางขึ้นไปที่ต่างประเทศให้การยอมรับคุณภาพ โดยปัจจุบันมีสัดส่วนการส่งออกไปยังกลุ่มประเทศเอเชีย 72% ยุโรป 12% สหรัฐอเมริกา 8% ออสเตรเลีย, นิวซีแลนด์ และอื่นๆ 8%

“ในปี 2559 บริษัทฯ มีแผนทำตลาดประเทศจีนมากขึ้นเพราะถือเป็นตลาดใหญ่สุดของกลุ่มผลิตภัณฑ์ปูอัด โดยในส่วนของกลุ่มประเทศ CLMV ซึ่งเปิดตลาดมากว่า 10 ปีแล้วจะยังคงเน้นตลาดซูเปอร์มาร์เกตและกลุ่มโมเดิร์นเทรดขนาดใหญ่ ขณะเดียวกันยังจะเริ่มทำตลาดกลุ่มประเทศมุสลิมและตะวันออกกลางอย่างจริงจังมากขึ้น ทั้งอินโดนีเซีย, สหรัฐอาหรับเอมิเรตส์, จอร์แดน และอื่นๆ เพื่อให้สอดรับนโยบายรัฐบาลที่ผลักดันให้การส่งออกสินค้าและบริการฮาลาลไทยอยู่ในอันดับ 1 ใน 5 ของโลกภายใน 5 ปี” น.ส.ปิยกาญจน์กล่าวในที่สุด




กำลังโหลดความคิดเห็น