xs
xsm
sm
md
lg

“เอลิแอล” เพิ่มฐานไลน์ผลิตทิชชูในไทย

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: MGR Online


ผู้จัดการรายวัน 360 - ทุนเจแปนมั่นใจตลาดไทย มองเป็นศูนย์กลางอาเซียน “เอลิแอน” ลุยต่อเนื่อง ดึงสินค้านำเข้าญี่ปุ่นมาขายเพิ่ม ปักฐานผลิตในไทยมากขึ้น เพิ่มไลน์ผลิตทิชชูเปียก ฝัน 5 ปีรายได้พุ่งเท่าตัวสู่ 4.8 พัน ล้านบาท

นายมาซาคาสุ โอกุระ กรรมการบริหาร บริษัท เอลิแอล อินเตอร์เนชั่นเนล (ไทยแลนด์) จำกัด ผู้ผลิตและจำหน่ายผลิตภัณฑ์ผ้าอ้อมเด็กสำเร็จรูป แบรนด์ “กูนน์” เปิดเผยว่า ไทยเป็นประเทศแรกในโลกที่บริษัทแม่ในญี่ปุ่นตัดสินใจลงทุนนอกประเทศเป็นครั้งแรก โดยในไทยทำตลาดมากว่า 5 ปี มีฐานผลิตผ้าอ้อมเด็กเป็นหลัก โดยมองว่าไทยเป็นศูนย์กลางอาเซียน บริษัทฯ จึงให้ความสำคัญในไทยอย่างต่อเนื่อง เช่น ในส่วนของโรงงาน ปีนี้เพิ่มไลน์ผลิตกระดาษทิชชูเปียกสำหรับในประเทศและอาเซียน รวมถึงเล็งนำเข้าสินค้าในกลุ่มจากประเทศญี่ปุ่นเพิ่มอีกหลายรายการ เช่น ผ้าอนามัย เป็นต้น

อย่างไรก็ตาม แผนการดำเนินงานในปีนี้จะมุ่งสร้างการรับรู้ของแบรนด์ “กูนน์” ในกลุ่มผลิตภัณฑ์ระดับพรีเมียม และแบรนด์ “กูนน์ เฟรนด์” ในกลุ่มผลิตภัณฑ์ราคาประหยัดที่มีการปรับโฉมใหม่ของภาพลักษณ์สินค้า รวมถึงพัฒนาคุณภาพให้ดียิ่งขึ้น โดยตอกย้ำคุณภาพการซึมซับที่เหนือชั้น ล่าสุดพร้อมส่งแคมเปญ “Giving and Sharing ลูกสุขภาพดี แม่มีความสุข” เจาะตลาดกลุ่มเป้าหมายเนื่องในโอกาสครบรอบการดำเนินธุรกิจ 5 ปีในไทย

“ตลาดผ้าอ้อมเด็กสำเร็จรูปในไทยกำลังเข้าสู่สถานการณ์เดียวกับญี่ปุ่น โดยเฉพาะในส่วนของการเกิดใหม่นั้นมีอัตราลดลง ทำให้ความต้องการผ้าอ้อมเด็กสำเร็จรูปลดลงตามไปด้วย บริษัทฯ จึงจะนำรูปแบบการตลาดในญี่ปุ่นมาปรับใช้ รวมถึงผลักดันให้เกิดการใช้งานผ้าอ้อมเด็กสำเร็จรูปต่อคนต่อวันให้มากขึ้น รวมถึงเพิ่มจำนวนตัวแทนจำหน่ายผ่านหน้าร้านให้มากขึ้น โดยบริษัทฯ จะเข้าไปซัปพอร์ตการทำตลาดหน้าร้านให้”

ขณะที่ภาพรวมตลาดผ้าอ้อมเด็กสำเร็จรูปในไทยปีที่ผ่านมามีมูลค่า 1.2 หมื่นล้านบาท โดย 2-3 ปีที่ผ่านมาไม่เติบโตเท่าที่ควร โดยรวมมองว่าพฤติกรรมการใช้ผ้าอ้อมเด็กส่วนหนึ่งเกิดจากภาวะการเกิดน้อยลง เป็นไปในทิศทางเดียวกับประเทศญี่ปุ่น อีกส่วนคือกลุ่มตลาดกลางและตลาดล่างยังเข้าไม่ถึง จึงเป็นช่องว่างที่สำคัญที่มองว่าตลาดยังมีโอกาสเติบโตได้อีกเท่าตัวในอนาคต หรือมีมูลค่าถึง 2.4 หมื่นล้านบาท

สำหรับผลการดำเนินงานของ “กูนน์” ในปีที่ผ่านมาปิดรายได้ที่ 900 ล้านบาท หรือมีส่วนแบ่งทางการตลาด 10% เป็นอันดับสามของตลาด รองจาก “มามี่ โพโค” 50% และ “เบบี้ เลิฟ” 35% ตามลำดับ โดยปีนี้บริษัทฯ ตั้งเป้ารายได้ไว้ที่ 1.3 พันล้านบาท เติบโตขึ้น 30% และขยับส่วนแบ่งทางการตลาดเพิ่มเป็น 15%

ส่วนรายได้รวมบริษัทฯ นั้นปีก่อนปิดที่ 2.4 พันล้านบาท แบ่งเป็นการส่งออก 60% และจำหน่ายในประเทศ 40% มาจาก 4 สินค้าหลักคือ ผ้าอ้อมเด็กสำเร็จรูป, ทิชชูเปียกสำหรับเด็ก, ทิชชูเปียกสำหรับใช้ทั่วไป และผ้าอ้อมสำหรับผู้ใหญ่ ทั้งนี้ ภายใน 5 ปีตั้งเป้าการเติบโตเป็นเท่าตัว หรือกว่า 4.8 พันล้านบาท มาจากในประเทศและส่งออกในสัดส่วน 50% เท่าๆ กัน



กำลังโหลดความคิดเห็น