ผู้จัดการรายวัน 360 - “ฟูจิตสึ” เผยตลาดเครื่องปรับอากาศไทยยังไม่รับระบบ Inverter ปรับแนวรบใหม่ในรอบ 5 ปี ส่งระบบ Fix Speed ชิงตลาดมูลค่า 2 หมื่นล้านบาท ประกาศกร้าวทำยอดขาย 1.5 พันล้านบาท โตก้าวกระโดดสูงถึง 5 เท่า หวั่นปัญหาค่าแรงในตลาดโลกกระทบต้นทุนการผลิต เตรียมแผนลงทุนด้านเครื่องจักรทดแทนแรงงานมากขึ้น
นายเคนจิ มิชิซึ กรรมการบริษัท ฟูจิตสึ เจเนอรัล (ประเทศไทย) จำกัด ผู้ผลิตเครื่องปรับอากาศภายใต้แบรนด์ “ฟูจิตสึ” เปิดเผยว่า ในปีงบประมาณ 2557 (1 เม.ย. 57-1 มี.ค. 58) บริษัทฯ ใช้งบประมาณ 2 พันล้านเยน หรือประมาณ 600 ล้านบาท ก่อตั้งศูนย์พัฒนาวิจัยผลิตภัณฑ์ บนพื้นที่รวมประมาณ 1.2 หมื่น ตร.ม. ภายในนิคมอุตสาหกรรมส่งออกแหลมฉบัง จ.ชลบุรี ซึ่งถือเป็นศูนย์พัฒนาวิจัยฯ แห่งแรกในโลกที่ตั้งนอกประเทศญี่ปุ่น โดยคาดว่าจะเริ่มเปิดดำเนินการได้ภายในเดือน พ.ค. 58
ตลาดเครื่องปรับอากาศบ้าน (Home Use) ในประเทศไทยมีอัตราการเติบโตที่สูงต่อเนื่องปีละ 10% จากมูลค่ารวมประมาณ 2 หมื่นล้านบาท คิดเป็นจำนวน 1.3 ล้านยูนิตต่อปี แบ่งสัดส่วนเป็นเครื่องปรับอากาศประเภท Fix Speed 85% และ Inverter 15% โดยในช่วง 5 ปีที่ผ่านมาบริษัทฯ มีการปรับกลยุทธ์ทำตลาดเครื่องปรับอากาศ Inverter เพียงชนิดเดียว แต่ปรากฏว่าตลาดในประเทศไทยยังไม่รองรับมากนัก จึงทำให้มีผลประกอบการสวนทางกับตลาด โดยในปี 2558 ทำยอดขายได้เพียง 200-300 ล้านบาท
“ในปี 2558 บริษัทฯ จึงจะเริ่มทำตลาดเครื่องปรับอากาศ Fix Speed อีกครั้ง พร้อมเริ่มตั้งแผนกขายของบริษัทฯ ตั้งแต่วันที่ 1 ก.พ.ที่ผ่านมา โดยในช่วงปลายเดือน มี.ค. 59 จะนำเสนอผลิตภัณฑ์ใหม่ 2 รุ่น คือ i-Sense และ Excellent ขนาด 9 พันถึง 3.4 หมื่นบีทียู พร้อมตั้งเป้าเป็น 1 ใน 5 ผู้นำตลาดเครื่องปรับอากาศ Fix Speed ด้วยยอดขายจำนวน 5-6 หมื่นยูนิต คิดเป็นส่วนแบ่งประมาณ 15% ซึ่งจะทำให้บริษัทฯ มียอดขายที่เติบโตแบบก้าวกระโดดถึง 5 เท่า คิดเป็นมูลค่าประมาณ 1.5 พันล้านบาท”
ในช่วงฤดูร้อนตั้งแต่เดือน มี.ค.เป็นต้นไป ผู้ผลิตแต่ละรายมักจะทำยอดขายเติบโตสูงถึง 100-300% ในปี 2559 บริษัทฯ จึงพร้อมใช้งบประมาณการตลาดขั้นต่ำ 100 ล้านบาทเพื่อสร้างยอดขายเพิ่มขึ้นในทุกช่องทาง จากปัจจุบันที่มีการจัดจำหน่ายผ่าน 3 ช่องทางหลัก คือ 1. ดีลเลอร์ จำนวน 150 รายทั่วประเทศ แบ่งเป็นกรุงเทพฯ 50 ราย และต่างจังหวัด 100 ราย คิดเป็นสัดส่วน 60% 2. งานโครงการ 30% 3. โมเดิร์นเทรดและร้านเชนสโตร์ 10%
นายเคนจิกล่าวด้วยว่า ในปีงบประมาณ 2557 บริษัทฯ ยังใช้งบประมาณ 50 ล้านบาทเพิ่มไลน์การผลิตของโรงงานภายในนิคมฯ แหลมฉบัง ทำให้มีกำลังการผลิตเพิ่มขึ้นจาก 1.3 ล้านยูนิตเป็น 3 ล้านยูนิต จากกำลังการผลิตสูงสุด 4.5 ล้านยูนิต โดยเน้นการส่งออก 98.5% ไปยังกลุ่มประเทศตะวันออกกลางเป็นหลักประมาณ 25% ญี่ปุ่นมากกว่า 10% ส่วนที่เหลือเป็นสหรัฐอเมริกา ยุโรป ออสเตรเลีย และอื่นๆ ส่วนที่เหลือ 1.5% เป็นการจำหน่ายในประเทศ
“ในปี 2559 บริษัทฯ ยังจะมีการลงทุนเพิ่มเพื่อขยายการผลิตชิ้นส่วนเครื่องปรับอากาศชนิดต่างๆ เช่น มอเตอร์, คอนเดนเซอร์ และอื่นๆ โดยขณะนี้กำลังอยู่ในระหว่างการกำหนดงบประมาณการลงทุนเพื่อให้สอดรับกับภาวะตลาดแรงงานโลกที่มีการปรับค่าจ้างสูงขึ้นทั้งในประเทศไทย จีน และอื่นๆ โดยจะเน้นการลงทุนด้านเครื่องจักรเพื่อทดแทนแรงงานมากขึ้น” นายเคนจิกล่าวในที่สุด