ผู้จัดการรายวัน 360 - ถึงคราว “ช่อง 3” ออกลุยเต็มกำลัง อัดหนักไม่ต่ำกว่า 5 พันล้านบาท จัดทัพละคร - กีฬา - พันธมิตรต่างประเทศ ส่ง 3 ช่องสู้ทีวีดิจิตอลเต็มสูบ ชี้ “ช่อง 3 ออริจินอล” ผังแน่น ล่าสุดปรับเวลาข่าวเที่ยงวันเป็น 1 ชม.เพิ่มเรตโฆษณาเป็น 2 แสนต่อนาที โฟกัสจัดเต็ม ชู “ช่อง 3SD” จับตลาดแมส ส่งละครใหม่ดูดอายส์บอลต่างจังหวัด ส่วนน้องเล็ก “ช่อง 3 แฟมิลี่” ยันไม่คืนช่องแน่นอน ล่าสุดเตรียมจับมือกับพันธมิตรต่างประเทศอีก 2-3 ราย ปรับรายการใหม่อีก 50% มั่นใจสิ้นปีรายได้รวมทีวีทั้ง 3 ช่องดีกว่าปีที่ผ่านมา
นายสุรินทร์ กฤตยาพงศ์พันธุ์ รองกรรมการผู้จัดการ และผู้ปฏิบัติการแทนรักษาการกรรมการผู้จัดการ บริษัท บางกอกเอ็นเตอร์เทนเม้นต์ จำกัด ผู้บริหารสถานีโทรทัศน์ไทยทีวีสีช่อง 3 (33HD), ช่อง 3SD (18) และช่อง 3 แฟมิลี่ (13) เปิดเผยว่า จากที่คาดการณ์ไว้ว่าช่วง 2 ปีแรกของทีวีดิจิตอลถือเป็นเวลาที่ยังไม่เหมาะสมในการลงทุนของทีวีดิจิตอล เพราะปัจจัยต่างๆ ยังไม่เอื้อ ไม่ว่าจะเป็นจำนวนการเข้าถึงผู้ชม การเรียงช่อง และเรื่องต่างๆ ที่เกิดขึ้นนั้นเป็นจริงตามที่มองไว้ จนนำมาซึ่งปัญหาและเกิดการเรียกร้องและฟ้องร้องของผู้ประกอบการที่กำลังเป็นอยู่ในปัจจุบัน ขณะที่ในส่วนของช่อง 3 ที่ผ่านมายังคงรอจังหวะและเวลารวมถึงการลงทุนในเวลาที่เหมาะสม
ล่าสุดในปี 2559 มองว่าเป็นช่วงเวลาที่ดีของการเดินหน้าทั้ง 3 ช่อง ด้วยการวางโพซิชันนิ่งช่องให้ชัดเจนยิ่งขึ้น และเชื่อว่าจากการที่บริษัทฯ มีสถานีโทรทัศน์อยู่ในมือถึง 3 ช่อง ถือเป็นความได้เตรียมในการนำเสนอคอนเท้นท์ที่หลากหลายและเข้าถึงกลุ่มเป้าหมายทั่วประเทศได้มากขึ้น จากเดิมที่ช่อง 3 มีกลุ่มเป้าหมายหลักเป็นคนกรุงเทพฯ และคนเมืองที่มีอายุ 14-15 ปีขึ้นไป แต่ต่างจังหวัดยังเข้าถึงยาก
แผนการวางโพซิชันนิ่งทั้ง 3 ช่องในปีนี้ใช้งบลงทุนรวมไม่ต่ำกว่า 5 พันล้านบาท ทั้งยังถือเป็นรายเดียวที่มีการลงทุนมากที่สุด เริ่มจาก “ช่อง 3 ออริจินอล” ที่ออกคู่ขนานกับ “ช่อง 3HD” (33) มีโพซิชันนิ่งจังกลุ่มพรีเมี่ยมอายส์บอล ผังรายการในปัจจุบันค่อนข้างแน่นและมีการตอบรับที่ดีจากกลุ่มผู้ชม โดยปีนี้ยังคงเน้นละครอย่างต่อเนื่อง เช่น ซีรีส์แม่ของแผ่นดิน, เพียงชายคนนี้ไม่ใช่ผู้วิเศษ, คงกระพันนารี, นางอาย และเล่ห์ลับสลับร่าง เป็นต้น โดยในส่วนของละครมีการลงทุนไม่ต่ำกว่า 3 พันล้านบาท ส่วนคอนเท้นท์ข่าวตั้งแต่เดือน มี.ค.ศกนี้ เป็นต้น ในช่วงรายการ “ข่าวเที่ยงวันทันเหตุการณ์” จากเดิมออกอากาศ 2 ชั่วโมงจะปรับเหลือ 1 ชั่วโมง ส่งผลให้เวลาในการลงโฆษณาลดลง จึงได้ปรับเรตโฆษณาขึ้นเป็น 2 แสนบาทต่อนาที จากเดิม 1.5 แสนบาทต่อนาที ส่วนเวลาที่เหลือ 1 ชั่วโมงก่อนหน้าจะนำซีรีส์เกาหลีและรายการของ “แอน ทองประสม” มาออกอากาศเพื่อทำให้ผังรายการแน่นขึ้น
ในส่วนของ “ช่อง 3SD” (28) จากเดิมที่วางคอนเทนต์กีฬาเป็นหลัก ปีนี้จะเริ่มส่งละครใหม่ลงผังอย่างต่อเนื่องตลอดปีในช่วงเวลา 18.20-19.50 น. ทุกวันเสาร์-อาทิตย์ เบื้องต้นที่เริ่มถ่ายทำไปแล้วมี 4 เรื่องคือ ม่านดอกงิ้ว, นารีริษยา, ไฟเปลี่ยนสี และมายาฉิมพลี ซึ่งจะเริ่มออกอากาศตั้งแต่ช่วงไตรมาสสองในเดือนเม.ย.ศกนี้เป็นต้นไป โดยคอนเท้นท์ละครที่จะลงใน “ช่อง 3SD” จะเป็นละครที่จับกลุ่มแมสเป็นหลัก ส่วนคอนเทนต์กีฬานั้นปีนี้ยังมีการถ่ายทอดสดการแข่งขันฟุตบอลยูโร 2016 รอบสุดท้าย, การแข่งขันฟุตบอลโลกปี 2018 รอบคัดเลือกและรอบสุดท้าย, การแข่งขันมอเตอร์ไซค์ MotoGP2016 และการแข่งขันวอลเลย์บอลกรังด์ปรีซ์ 2016 และรายการกีฬาดังระดับโลกอีกหลายรายการที่บริษัทฯ ได้เข้าร่วมประมูลอีก เช่น การแข่งขันฟุตบอลโลกรอบสุดท้าย เป็นต้น รวมถึงซีรีส์จีนและเกาหลีบางส่วน รวมแล้วทั้งปีจะมีการนำเสนอรายการใหม่ 50% มั่นใจว่าจะทำให้มีฐานผู้ชมในกลุ่มต่างจังหวัดได้มากขึ้น
ขณะที่ “ช่อง 3 แฟมิลี่” จับกลุ่มครอบครัวเป็นหลักจากการที่ต้องออกอากาศตลอดเวลา 24 ชั่วโมง ทำให้ไม่สามารถผลิตรายการเองได้ทั้งหมด จึงมีนโยบายจับมือกับพันธมิตรต่างชาติระดับโลกให้เข้ามาร่วมผลิตเป็นหลัก โดยกำลังอยู่ในขั้นตอนการเจรจา 2-3 รายจากเดิมที่มีอยู่แล้ว 2 รายคือ “ดรีมเวิร์ค” และสถานีโทรทัศน์ของญี่ปุ่น ในชื่อรายการ “วากุวากุ” ออกอากาศเวลา 09.00-10.30 น. ทุกวันเสาร์-อาทิตย์ เริ่ม มี.ค.ศกนี้ รวมถึงนำเสนอซีรีย์จีนและเกาหลีที่มีเนื้อหาจับกลุ่มครอบครัวมานำเสนอ โดยรวมทั้งปีจะมีการปรับเพิ่มรายการใหม่ราว 50% เช่นกัน จึงถือเป็นช่องที่จะเติมเต็มอายส์บอลที่ยังขาดอยู่และเป็นช่องที่รองรับคอนเท้นท์กีฬาต่างๆ ที่บริษัทฯ ซื้อมาเพื่อออกอากาศในช่อง 3HD และช่อง 3SD
นายสุรินทร์ กล่าวต่อว่า จากแผนการดำเนินงานที่วางไว้เชื่อว่าในภาพรวมของธุรกิจทีวีจากทั้ง 3 ช่อง เชื่อว่าจะมีผลประกอบการที่ดีกว่าปีก่อน โดยในส่วนของ “ช่อง 3 ออริจินอล” มั่นใจว่าจะมีรายได้เติบโตขึ้น 3-5% ส่วน “ช่อง 3SD” น่าจะมีรายได้โตขึ้น 40-50% และ “ช่อง 3 แฟมิลี่” จะมีรายได้เพิ่ม 40-50% เช่นกัน หากจับมือกับพันธมิตรสำเร็จตามแผนที่วางไว้ แต่ในส่วนของ 2 ช่องหลังนั้นในภาพรวมยังถือว่าขาดทุนอยู่ซึ่งเป็นเป็นไปตามที่คาดการณ์ไว้ว่าการลงทุนทีวีดิจิตอล 3-5 ปีจะอยู่ในภาวะขาดทุน แต่ยังมองว่าธุรกิจทีวีดิจิตอลเป็นธุรกิจที่ยังมีโอกาสอยู่ ทำให้บริษัทฯ พร้อมลงทุน และคาดหวังว่าทั้ง 3 ช่องจะมีเรตติ้งช่องขยับเพิ่มจากเดิมได้ แม้ในปัจจุบันถือว่าอยู่ในระดับท็อป 10 แล้วก็ตาม