ผู้จัดการรายวัน 360 - “อิออน” เตรียมอัดฉีดงบรวม 1 หมื่นล้านบาทภายใน 5 ปี ผุดชอปปิ้งเซ็นเตอร์แบบฉบับญี่ปุ่น ขนาด 2-3 แสน ตร.ม.สู้ค้าปลีกเจ้าถิ่นใจกลางเมือง พร้อมลุยขยาย “แม็กซ์แวลู” และโมเดลใหม่ “สเปเชียลตี้ชอป” หวังโกยยอดขายโต 3 เท่าตัว หรือกว่า 2 หมื่นล้านบาทภายในปี 63
นายมาซามิสึ อิกุตะ กรรมการผู้จัดการ บริษัท อิออน (ประเทศไทย) จำกัด เปิดเผยถึงแผนการดำเนินธุรกิจในประเทศไทยว่า นับจากปี 2559-2563 บริษัทฯ เตรียมจัดงบประมาณลงทุนไว้ประมาณ 1 หมื่นล้านบาท เพื่อลงทุนใน 3 โมเดลหลัก ได้แก่ โมเดลซูเปอร์มาร์เกต ภายใต้แบรนด์ “แม็กซ์แวลู” โดยจะมีการขยายสาขาต่อเนื่องประมาณ 10 สาขาต่อปีจากปัจจุบันมีสาขารวมอยู่ที่ 80 สาขา แบ่งเป็นสาขาขนาดใหญ่ หรือ “แม็กซ์แวลู” 32 สาขา และสาขาขนาดเล็กคือ “แม็กซ์แวลู ทันใจ” 48 สาขา ขณะที่การขยายสาขาเฉพาะในปี 2559 สำหรับซูเปอร์มาร์เกต “แม็กซ์แวลู” ขนาดใหญ่ คาดว่าจะเปิดประมาณ 3 สาขา ใช้งบลงทุนรวม 50 ล้านบาท ส่วนสาขาขนาดเล็กคือ “แม็กซ์แวลู ทันใจ” จะขยายเพิ่มประมาณ 5 สาขา ใช้งบลงทุนประมาณ 10 ล้านบาท
โมเดลที่ 2 คือ “ชอปปิ้งเซ็นเตอร์” ขนาดใหญ่ พื้นที่ 2-3 แสน ตร.ม. ถือเป็นโมเดลศูนย์การค้าอิออนที่ยกต้นแบบจากประเทศญี่ปุ่นมาเปิดในประเทศไทยเป็นครั้งแรก เน้นทำเลใจกลางเมืองเพื่อให้สามารถแข่งขันกับศูนย์การค้าใจกลางเมืองของไทย อย่าง สยามพารากอน, เซ็นทรัลเวิลด์ รวมไปถึง ดิ เอ็มโพเรียม เป็นต้น โดยงบประมาณลงทุนเปิดชอปปิ้งเซ็นเตอร์ดังกล่าวคาดว่าใช้ประมาณ 6 พันล้านบาท วางแผนจะเปิดให้บริการได้ภายในปี 2561 ปัจจุบันอยู่ระหว่างการหาทำเลที่เหมาะสมในการทำโครงการ
ส่วนโมเดลที่ 3 คือ “สเปเชียลตี้ชอป” ซึ่งจะเน้นเปิดร้านที่ยังไม่เคยมีในเมืองไทย โดยนำแบรนด์ที่ประสบความสำเร็จในญี่ปุ่นมาเปิดที่ไทย เช่น ร้านจักรยาน, ดรักสโตร์, ร้านเครื่องสำอาง และร้านอาหารสัตว์ เป็นต้น เบื้องต้นจะทดลองนำ 2 แบรนด์มาเปิดในไทยก่อนภายในปี 2560 ประมาณ 3-4 สาขา แต่จะเป็นแบรนด์ใดบ้างนั้นยังไม่สามารถเปิดเผยได้ อย่างไรก็ตาม หากประสบความสำเร็จมีโอกาสที่จะขยายเพิ่มเป็น 20 สาขาต่อแบรนด์ต่อปี พร้อมกับนำแบรนด์ใหม่ๆ เข้ามาเปิดมากขึ้น
นอกจากแผนการขยายสาขาต่างๆ ในประเทศไทยมากขึ้นแล้ว ภายในปี 2563 บริษัทฯ ยังได้วางแผนที่จะนำ บริษัท อิออน (ประเทศไทย) จำกัด เข้าตลาดหลักทรัพย์ฯ ในประเทศไทย เพื่อระดมทุนจำนวน 6 พันล้านบาทสำหรับการขยายธุรกิจศูนย์การค้าขนาดใหญ่ในไทยมากขึ้น โดยเป้าหมายภายในปี 2573 จะเปิดชอปปิ้งเซ็นเตอร์ให้ครบ 20 ศูนย์
ขณะที่แผนการทำตลาดนับจากนี้ไปจะรุกทำตลาดสินค้าเฮาส์แบรนด์มากขึ้น โดยจะเปิดตัวสินค้าเฮาส์แบรนด์ใหม่ในทุกกลุ่มสินค้าภายใต้แบรนด์ “ท็อปแวลู” (Topvalue) มีสินค้าหลากหลายประเภททั้งอาหารและเครื่องดื่ม เนื่องจากสินค้าเฮาส์แบรนด์ของอิออนในปัจจุบันถือว่ามีจุดแข็งที่แตกต่างจากตลาด โดยการผลิตสินค้าส่วนใหญ่จะตอบรับกับพฤติกรรมและความต้องการที่แท้จริงของผู้บริโภคเป็นหลัก และเป็นสินค้าที่มีคุณภาพสินค้า ราคาเหมาะสมได้มาตรฐานของอิออน
นอกจากผลิตเพื่อขายในประเทศแล้ว ปัจจุบันไทยยังเป็นฐานการผลิตสินค้าบางประเภทส่งออกไปขายที่อิออนญี่ปุ่นและทั่วโลกด้วย เช่น แชมพู, สบู่เหลว, แปรงสีฟัน, ชั้นวางอเนกประสงค์, ข้าวโพดกระป่อง, ปลากระป๋อง, สินค้าประเภทพลาสติก เป็นต้น ขณะที่ล่าสุดไทยยังได้รับคัดเลือกให้เป็นฐานการผลิตกลุ่มสินค้าผ้ายืด เช่น เสื้อยืด, ถุงเท้า และผ้าขนหนู โดยเริ่มผลิตไปเมื่อเดือน ต.ค. 58 เพื่อจำหน่ายในประเทศไทยเป็นหลักและกำลังจะส่งออกไปยังประเทศกัมพูชาในเร็วๆ นี้ โดยมั่นใจว่าเมื่อเปิดเออีซีแล้วเชื่อว่าไทยจะเป็นฐานการผลิตสินค้าเพื่อส่งออกไปยังกลุ่มประเทศอาเซียนได้มากขึ้นเช่นกัน
อย่างไรก็ตาม ฐานการผลิตในประเทศไทยปัจจุบันทำรายได้รวมอยู่ที่ 3.45 พันล้านบาท แบ่งเป็นยอดจำหน่ายในประเทศ 150 ล้านบาท และส่งออกอีก 3.3 พันล้านบาท โดยสัดส่วนการขายของสินค้าเฮาส์แบรนด์ปัจจุบันอยู่ที่ 3% บริษัทฯ วางเป้าหมายจะเพิ่มสัดส่วนการขายเพิ่มขึ้น โดยปี 2559 คาดจะมีสัดส่วนเพิ่มเป็น 5% และในปี 2563 จะเพิ่มเป็น 15% ขณะที่เป้าหมายของเฮาส์แบรนด์ “ท็อปแวลู” ทั่วโลกภายในปี 2563 คาดว่าจะอยู่ที่ 5 ล้านล้านเยนจากปัจจุบันมียอดขายทั่วโลกที่ 8 หมื่นล้านเยน โดยบริษัทฯ เชื่อว่า “ท็อปแวลู” จะขึ้นเป็นอันดับหนึ่งของไพรเวตแบรนด์ของเอเชียในปีดังกล่าวด้วยเช่นกัน
สำหรับเป้าหมายหลังจากที่รุกขยายธุรกิจในไทยต่อเนื่อง คาดว่าภายในปี 2563 อิออน ประเทศไทย จะมียอดขายรวมอยู่ที่กว่า 2 หมื่นล้านบาท (ยอดขายเฉพาะซูเปอร์มาร์เกต) หรือเพิ่มขึ้นเป็น 3 เท่าตัวจากยอดขายปี 2558 ที่มีประมาณ 7 พันล้านบาท ส่วนสิ้นปี 2559 คาดว่าจะมียอดขายรวม 7.7 พันล้านบาท โดยสินค้าเฮาส์แบรนด์อย่าง “ท็อปแวลู” จะเป็นตัวผลักดันทำให้ยอดขายของ อิออน ประเทศไทย รวมถึงทั่วโลกบรรลุเป้าหมายที่วางไว้