ผู้จัดการรายวัน 360 - กลุ่มบริษัท “ไพร์ม โรด” ทุ่ม 1.6 พันล้านบาท พัฒนาโครงการคอมมูนิตีมอลล์สไตล์ “ไชน่าทาวน์” บนพื้นที่ 23.5 ไร่กลางเมืองอุดรฯ หวังรองรับเออีซี คาดอาคารพาณิชย์ 160 ยูนิตเฟส 1 ขายหมดในเดือน เม.ย. 59 ก่อนรับรู้รายได้ในไตรมาส 3/59 เผยเตรียมงบฯ อีก 5 พันล้านบาทผุดโครงการใหม่ในกรุงเทพฯ ชลบุรี และภูเก็ต
นายสมประสงค์ ปัญจะลักษณ์ ประธานกลุ่มบริษัท ไพร์ม โรด จำกัด ผู้ดำเนินธุรกิจพลังงานทดแทน พลังงานชีวภาพ อสังหาริมทรัพย์ และอื่นๆ เปิดเผยว่า กลุ่มบริษัทไพร์มโรดได้จัดตั้ง บริษัท ไพร์ม โรด พร็อพเพอร์ตี้ จำกัด ด้วยทุนจดทะเบียน 100 ล้านบาทชำระเต็ม เมื่อประมาณกลางปี 2556 เพื่อดำเนินธุรกิจคอมมูนิตีมอลล์ในรูปแบบอาคารพาณิชย์ภายใต้ชื่อโครงการ “ไพร์ม สแควร์” (PRIME SQUARE) ภายใต้งบลงทุน 1.6 พันล้านบาท บนพื้นที่ 23.5 ไร่ ต.หมากแข้ง อ.เมือง จ.อุดรธานี
โครงการ “ไพร์ม สแควร์” เป็นการพัฒนาพื้นที่เช่าระยะเวลา 30+30 ปีของการรถไฟแห่งประเทศไทย (ร.ฟ.ท.) แบ่งระยะการพัฒนาเป็น 3 เฟส คือ เฟส 1 ลงทุน 1 พันล้านบาทในการก่อสร้างอาคารพาณิชย์ 160 ยูนิต บนพื้นที่ 15 ไร่ โดยกำหนดกลุ่มผู้ซื้อใน 5 ธุรกิจด้วยสัดส่วนเท่าๆ กัน ได้แก่ 1. ร้านอาหาร 2. ร้านทองคำรูปพรรณ 3. สถานเสริมความงามและสุขภาพ 4. แฟชั่น เสื้อผ้า เครื่องประดับ และ 5. สถาบันการเงินและบริการต่างๆ ส่วนเฟส 2 และ 3 ใช้งบลงทุน 600 ล้านบาทพัฒนาพื้นที่ 8.5 ไร่ เป็นโครงการสำนักงานและที่พักอาศัยในลักษณะมิกซ์ยูส
นายสมประสงค์กล่าวด้วยว่า บริษัทฯ ใช้เวลาศึกษาตลาดประมาณ 1 ปีก่อนตัดสินใจลงทุน เนื่องจากเล็งเห็นถึงศักยภาพการพัฒนาทางด้านเศรษฐกิจของจังหวัดอุดรธานีซึ่งถือเป็น 1 ใน 3 จังหวัดที่ได้รับการรับรองจากอาเซียนให้เป็นจังหวัดหน้าด่านที่รองรับการเปิดเขตประชาคมเศรษฐกิจอาเซียนเชื่อมโยงกับประเทศลาวและเวียดนาม ทั้งยังถือเป็นจุดศูนย์กลางทางการค้าของภาคตะวันออกเฉียงเหนือตอนบนที่จะมีระบบคมนาคมขนส่งรถไฟฟ้ารางคู่และความเร็วสูงในอนาคตอันใกล้
ล่าสุดบริษัทฯ เปิดตัวโครงการอย่างเป็นทางการ ณ ศูนย์วัฒนธรรมไทย-จีน จ.อุดรธานี เมื่อวันที่ 26 พ.ย.ที่ผ่านมา โดยจะเริ่มเปิดขายพื้นที่อย่างเป็นทางการภายใน 2 เดือน และคาดว่าจะขายพื้นที่หมดทั้งโครงการภายในเดือนเมษายน 2559 โดยกำหนดสัดส่วนลูกค้าในจังหวัดอุดรธานีและใกล้เคียง 50% ลูกค้ากรุงเทพฯ และส่วนกลาง 30% และลูกค้าต่างชาติ 20%
“ก่อนหน้านี้ประมาณ 1 เดือนบริษัทฯ เริ่มมีการเปิดขายพื้นที่โครงการอย่างไม่เป็นทางการ ปรากฏว่าได้รับการตอบรับที่ดีจากกลุ่มนักธุรกิจและผู้ประกอบการที่เซ็นสัญญาซื้อแล้ว 60 ราย หรือประมาณ 40% คิดเป็นจำนวนเงินประมาณ 400 ล้านบาท โดยลูกค้ากว่า 50% เป็นลูกค้าจากกรุงเทพฯ และส่วนกลาง” นายสมประสงค์กล่าวเสริม
บริษัทฯ จะเริ่มก่อสร้างโครงการตั้งแต่เดือนมกราคม 2559 ใช้ระยะเวลา 8 เดือนจนแล้วเสร็จทั้งโครงการ โดยคาดว่าจะเริ่มรับรู้รายได้ในช่วงไตรมาสที่ 3 ของปี 2559 จากนั้นจะนำรูปแบบโครงการไปใช้พัฒนาพื้นที่ในจังหวัดอื่นๆ เป็นลำดับต่อไป โดยปัจจุบันมีพื้นที่ที่พร้อมจะพัฒนาแล้ว 3 แห่ง คือ ถ.สุขุมวิท กรุงเทพฯ ประมาณ 12 ไร่ จ.ชลบุรี ประมาณ 8 ไร่ และ จ.ภูเก็ต ประมาณ 4 ไร่ โดยคาดว่าจะเริ่มดำเนินการได้ภายในปี 2559 ภายใต้งบลงทุนทั้ง 3 พื้นที่เป็นมูลค่าประมาณ 5 พันล้านบาท แต่ยังไม่ตัดสินใจว่าจะเริ่มพื้นที่ใดก่อน
นายสมประสงค์กล่าวด้วยว่า จุดเด่นของโครงการฯ คือรูปแบบการก่อสร้างและตกแต่งในสไตล์โมเดิร์นไชนีส เพื่อให้เป็น “ไชน่าทาวน์” กลางใจเมืองอุดรธานี ทั้งยังมีทำเลที่ตั้งซึ่งมีความได้เปรียบด้านสิ่งอำนวยความสะดวกด้านต่างๆ โดยบริเวณหน้าโครงการฯ ทางทิศใต้ติดถนนโพศรีและถนนนิตโย ซึ่งเป็นถนนสายหลักของอำเภอเมือง ส่วนด้านทิศตะวันออกยังติดกับสถานีรถไฟจังหวัดอุดรธานี และสถานที่ท่องเที่ยวสำคัญหลายแห่ง เช่น ศูนย์วัฒนธรรมไทย-จีน จ.อุดรธานี และศาลเจ้าปู่-ย่า โดยภายในโครงการยังมีที่จอดรถรองรับได้ถึง 300 คัน
“โครงการฯ ยังมีความได้เปรียบในแง่ของราคาขายในพื้นที่ใกล้เคียงสำหรับที่อยู่อาศัยในย่านนี้แต่ไม่สามารถทำธุรกิจการค้าได้จะมีราคาเฉลี่ยประมาณ 8 หมื่นบาทต่อตารางเมตร แต่สำหรับอาคารพาณิชย์ในโครงการฯ ซึ่งมีราคาขายที่เป็นสิทธิการเช่าระยะยาวเฉลี่ย 5.5 ล้านบาท หรือประมาณ 2.4 หมื่นบาทต่อตารางเมตร ถือเป็นราคาขายเพียง 30% ของตลาดเท่านั้น”
นายสมประสงค์กล่าวในตอนท้ายว่า บริษัทฯ ไม่ถือเป็นคู่แข่งกับโครงการคอมมูนิตีมอลล์ “ยูดี ทาวน์” ซึ่งตั้งในละแวกเดียวกัน เพราะมีความแตกต่างกันในแง่ระยะเวลาการเช่าและลักษณะโครงการ แต่ถือเป็นการส่งเสริมธุรกิจและเอื้อประโยชน์ร่วมกันในการพัฒนาพื้นที่เศรษฐกิจของจังหวัดอุดรธานีในอนาคต