“กกร.” เตรียมทำหนังสือถึงกระทรวงมหาดไทยหวังชะลอบังคับใช้กฎหมายผังเมืองใหม่ 3 เดือนเพื่อขอให้เอกชนศึกษาแต่ละจังหวัดอย่างละเอียด หวั่นกระทบลงทุนโดยเฉพาะ จ.สมุทรสาครกระทบมาก พร้อมเตรียมหารือนายกฯ ลดขั้นตอนทำธุรกิจหลังธนาคารโลกลดอันดับความยากง่ายในการทำธุรกิจของไทยปีนี้ลง
นายอิสระ ว่องกุศลกิจ ประธานกรรมการสภาหอการค้าแห่งประเทศไทย เปิดเผยหลังการประชุมคณะกรรมการร่วมภาคเอกชน 3 สถาบัน (กกร.) เมื่อวันที่ 3 พ.ย.ว่า กกร.ได้หารือถึงผลกระทบจากกฎหมายผังเมืองใหม่ต่อภาคอุตสาหกรรมที่มีการประกาศลดพื้นที่สีม่วง (ที่ตั้งโรงงาน) โดยเร็วๆ นี้จะทำหนังสือไปยังกระทรวงมหาดไทยเพื่อขอให้พิจารณาชะลอการบังคับใช้กฎหมายดังกล่าวไปก่อน 3 เดือน เพื่อให้เอกชนได้รวบรวมข้อมูลผลกระทบแต่ละจังหวัดเพื่อหารือกำหนดแนวทางดำเนินการอีกครั้ง
“ขณะนี้กฎหมายผังเมืองใหม่ผ่านความเห็นชอบจากสภานิติบัญญัติแห่งชาติ หรือ สนช.แล้ว ซึ่งไม่ทราบว่าขั้นตอนอยู่จุดไหน แต่เราขอเวลาอีก 3 เดือนเพื่อรวบรวมข้อมูลเพราะแต่ละจังหวัดมีผลกระทบต่างกันเพราะแต่ละอุตสาหกรรมในพื้นที่ไม่เหมือนกัน อย่างไรก็ตาม ภาคเอกชนยังคงเน้นที่จะคงหลักการในการรักษาสิ่งแวดล้อม” นายอิสระกล่าว
ทั้งนี้ ตัวอย่างผลกระทบที่ค่อนข้างมากได้แก่ โรงงานในพื้นที่ จ.สมุทรสาครซึ่งส่วนใหญ่เป็นโรงงานอาหารแปรรูปทะเล เกี่ยวข้องกับอุตสาหกรรมประมง ซึ่งหากมีการลดพื้นที่ตั้งโรงงานและห้ามขยายโรงงานในพื้นที่เดิมจะมีผลกระทบทันทีและเป็นวงกว้างมาก จึงขอให้มีการศึกษาอย่างรอบคอบอีกครั้งและให้เวลาเอกชนมีการปรับตัว ขณะเดียวกันบางจังหวัดเป็นพื้นที่การเกษตร การตั้งโรงงานส่วนใหญ่ก็จะต้องเน้นใกล้แหล่งวัตถุดิบเพื่อลดต้นทุนซึ่งควรจะพิจารณาว่าโรงงานเหล่านี้ไม่ได้ส่งผลกระทบสิ่งแวดล้อมมาก เป็นต้น
นายอิสระกล่าวว่า วันที่ 6 พ.ย.นี้ การประชุมคณะกรรมการร่วมภาครัฐและเอกชน (กรอ.) ที่มี พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมตรีเป็นประธาน ทาง กกร.จะเสนอให้มีการแก้ไขอุปสรรคทางการค้า โดยให้มีการประชุมด้านเศรษฐกิจเพื่อให้นโยบายส่วนกลางลงไปได้รวดเร็วขึ้น และทบทวนโครงสร้างและบทบาทหน้าที่ของ กรอ.จังหวัดเพื่อขับเคลื่อนนโยบายกระตุ้นเศรษฐกิจ และเป็นการบูรณาการหน่วยงานรัฐและเอกชน ท้องถิ่น ฯลฯ
“กรอ.จังหวัดที่มีผู้ว่าราชการเป็นประธานนั้นเห็นว่าควรจะมีการประชุมเดือนละ 1-2 ครั้งเพื่อให้การขับเคลื่อนนโยบายรัฐมีประสิทธิภาพมากขึ้น เพราะขณะนี้สิ่งที่กังวลคือการที่ธนาคารโลกจัดอันดับความยากง่ายในการทำธุรกิจของประเทศไทยลดลงปีนี้เป็นอันดับที่ 49 จากอันดับที่ 46 ในปีที่แล้ว ซึ่งเห็นว่าเป็นตัวสะท้อนถึงจุดอ่อนของขีดความสามารถทางการแข่งขันของประเทศ ซึ่งรัฐบาลเองก็ให้ความสำคัญต่อเรื่องนี้” นายอิสระกล่าว