“พล.อ.อนันตพร” ตรวจเยี่ยมการดำเนินงาน “ปตท.” ชมเปาะภาพลักษณ์ ปตท.ไม่ได้เสียหายอะไร ควรมองย้อนดูประวัติศาสตร์ด้วย ย้ำยุคนี้ต้องปรับตัวถ้าไม่เช่นนั้นก็อยู่ไม่ได้ พร้อมที่จะเฝ้าติดตาม
พล.อ.อนันตพร กาญจนรัตน์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน เปิดเผยหลังการตรวจเยี่ยมการดำเนินงานและพบปะผู้บริหาร บมจ.ปตท. เมื่อวันที่ 10 ก.ย.ว่า บมจ.ปตท.ถือเป็นรัฐวิสาหกิจที่มีทั้งกระทรวงการคลังและกองทุนวายุภักดิ์ถือหุ้นหาก ปตท.มีกำไรรัฐเองก็มีรายได้ที่จะนำไปพัฒนาประเทศจากส่วนนี้ และยุคนี้องค์กรจะอยู่ได้ก็จะต้องมีการปรับตัวซึ่ง ปตท.ก็มีการปรับตัวเองมาพอสมควรและสามารถแข่งขันในเวทีระดับโลกได้คงไม่ได้ให้นโยบายการดำเนินงานอะไรมากแต่ก็จะเฝ้าติดตาม
“ผมมองว่าภาพลักษณ์ ปตท.ก็ไม่ได้เสียหายนะ รางวัลระดับโลกก็ได้มาตลอดแต่อาจจะเกิดความไม่เข้าใจเพราะมีมุมมองต่างกัน ถ้าเขาสามารถอธิบายเหตุผลได้ทุกอย่างก็จบ ซึ่งอดีต ปตท.เองก็มีส่วนสำคัญในการกู้วิกฤตการณ์น้ำมันขาดแคลนแต่พอเขาเติบโตมาจะต่อว่าเขาก็ต้องดูประวัติย้อนกลับไปด้วยซึ่งแน่นอนว่าเขาจะอยู่ไม่ได้เองถ้าเขาไม่ปรับตัว” รมว.พลังงานกล่าว
ทั้งนี้ ปตท.มีส่วนสำคัญในการดูแลราคาขายปลีกน้ำมัน แม้ว่าจะที่สุดจะสะท้อนกลไกตลาดโลกแต่ก็ทำให้การปรับขึ้นนั้นไม่รวดเร็วจนเกินไป เนื่องจาก ปตท.มีส่วนแบ่งการตลาดน้ำมันที่สูงสุด โดยขณะนี้ราคาพลังงานภาพรวมก็ได้สะท้อนกลไกตลาดแล้ว เหลือเพียงราคาก๊าซธรรมชาติสำหรับยานยนต์หรือ NGV ที่ยังต่ำกว่าต้นทุนที่ขณะนี้ต้นทุน 15.52 บาทต่อกิโลกรัม (กก.) แต่ราคาNGVล่าสุดที่ปรับขึ้นไป 0.50 บ.ต่อ กก.ทำให้ราคาขายปลีกอยู่ที่ 13.50 บาทต่อ กก.ยกเว้นรถโดยสาธารณะที่ยังอยู่ที่ 10 บ.ต่อ กก.ภาพรวมตลอด 12 ปีที่ผ่านมา ปตท.เองก็แบกรับภาระราคา NGV ที่ต่ำกว่าต้นทุนไปแล้วถึงกว่าแสนล้านบาท
“เราเองก็มีนโยบายที่จะดูให้ราคา NGV สะท้อนกลไกตลาด โดยการปรับราคานั้นจะมีการพิจารณาเป็นรายเดือนส่วนจะขึ้นอีกหรือไม่ ยังตอบไม่ได้ เพราะต้องอยู่ที่ราคาตลาดโลกในเดือนต.ค.นี้ด้วย และคงต้องดูภาพรวมหลายๆ ด้าน โดยรกอบใหญ่ที่มอบให้คือประชาชนอยากให้เกิดการแข่งขันก็ต้องไปดูจุดนี้ซึ่ง ปตท.ก็ทำอยู่แล้ว ขณะที่การพิจารณาต่ออายุสัมปทานปิโตรเลียมแหล่งบงกช และเอราวัณที่จะหมดอายุสัมปทานก็จะต้องดำเนินการให้เสร็จภายใน มิ.ย. 59” รมว.พลังงานกล่าว