“หม่อมอุ๋ย” มั่นใจเงินทุนสำรองมีสูงพอรับมือวิกฤตกรีซ ตลาดหุ้นอาจกระทบบ้างแต่ก็ไม่มาก ขณะที่ส่งออกไทยปีนี้ยอมรับติดลบเป็นปีที่ 3 ต่อเนื่อง เหตุเศรษฐกิจโลกชะลอและขีดความสามารถการแข่งขันภาคอุตสาหกรรมไทยตกต่ำ อีก 2 ปียุทธศาสตร์บีโอไอใหม่ดันอุตสาหกรรมนวัตกรรมสูงพลิกส่งออกโตได้
ม.ร.ว.ปรีดิยาธร เทวกุล รองนายกรัฐมนตรี เปิดเผยภายหลังเป็นประธานและแสดงปาฐกถาพิเศษ ในงานสัมมนา “Thailand: a Regional Trading and Modern Industry Hub” ซึ่งมีนักลงทุนทั้งไทยและต่างชาติกว่า 700 รายเข้าร่วมงาน ว่า กรณีปัญหาหนี้กรีซคาดว่าจะกระทบต่อภาวะตลาดหุ้นไทยบ้าง แต่กรณีที่หลายฝ่ายอาจเกรงปัญหาเงินไหลกลับจนวิกฤตไม่เกิดขึ้นแน่นอนเพราะพื้นฐานไทยดี เนื่องจากไทยมีเงินทุนสำรองระหว่างประเทศระดับ 2 แสนล้านเหรียญสหรัฐที่จะรองรับได้มาก
“ปัญหากรีซอาจกระทบให้มีการดึงเงินกลับก็จะกระทบตลาดหุ้นบ้าง โดยเฉพาะการลงทุนในบอนด์แต่สำรองเรามีเพียงพอรับปัญหาได้เรายันเงินไหลออกได้อยู่ ขณะที่สถาบันการเงินเองก็ไม่มีปัญหาอะไร แต่เราเองก็ไม่ประมาทต้องติดตามใกล้ชิดเพราะบาทอ่อนค่าก็จะมีผลดีต่อส่งออกแต่ก็ต้องไม่ให้มากเกินไป” รองนายกรัฐมนตรีกล่าว
สำหรับภาวะการส่งออกนั้นต้องยอมรับว่าไทยมีการส่งออกติดลบต่อเนื่องมา 3 ปีรวมปีนี้ที่จะติดลบด้วย ซึ่งปัญหาปีนี้เกิดจากปัจจัยภาวะเศรษฐกิจโลกที่ชะลอตัว และอีกปัจจัยสำคัญที่อาจไม่มีการพูดถึงคือการที่ภาคส่งออกของไทยมีขีดความสามารถทางการแข่งขันที่ลดลง หลายสินค้าไทยสูญเสียความสามารถเพราะประเทศในอาเซียนต่างก็ผลิตสินค้าที่เหมือนไทยเข้ามาแข่งขัน นี่จึงเป็นเหตุผลสำคัญที่ทำให้รัฐบาลชุดนี้โดยสำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน (บีโอไอ) ได้ปรับยุทธศาสตร์ส่งเสริมการลงทุนใหม่ที่เน้นการส่งเสริมการลงทุนอุตสาหกรรมที่ทันสมัย เน้นนวัตกรรม วิจัย และพัฒนามากขึ้น
ทั้งนี้ 5 เดือนแรกปีนี้บีโอไอมีการอนุมัติส่งเสริมการลงทุนไปทั้งสิ้น 1,094 ราย โดยเป็นอุตสาหกรรมแนวใหม่ที่เป็นเป้าหมายถึง 216 ราย ซึ่งการลงทุนจะเกิดขึ้นได้ในอีก2 ปีข้างหน้า โดยอุตสาหกรรมเหล่านี้จะกลับมาทำให้การส่งออกของไทยเติบโตอีกครั้ง และเมื่อไทยมีการพัฒนาระบบรถไฟรางคู่ขึ้นมารองรับ ไม่เพียงแต่จะสนับสนุนฐานการผลิตของไทยให้เข้มแข็ง ยังรองรับการผลักดันให้ไทยเป็นศูนย์กลางการค้า (HUB) ภูมิภาค โดยมุ่งดึงการลงทุนกิจการสำนักงานใหญ่ข้ามประเทศ IHQ และกิจการบริษัทการค้าระหว่างประเทศ (ITC) โดยกิจการ IHQ และ ITC ที่ยื่นขอรับส่งเสริมในช่วง 5 เดือนที่ผ่านมา (มกราคม-พฤษภาคม 2558) ประกอบไปด้วย กิจการ IHQ จำนวน 4 ราย มูลค่าเงินลงทุนรวม 149 ล้านบาท กิจการ ITC จำนวน 14 ราย มูลค่าเงินลงทุนรวม 177 ล้านบาท