ตลาดของเด็กเล่นอาเซียนบูม ทุนเยอรมนีบุกเต็มสูบ “ซิมบ้า” ยักษ์ทอยส์ยุโรปร่วมทุน “วันเดอร์เวิร์ล” รุกทำตลาดในไทยและอาเซียน หวังการเติบโต 20% ปี 58 จาก 100 ล้านบาทในปีก่อน
นางสาวสโรชินี ฉ่ำทรัพย์ ผู้จัดการทั่วไป บริษัท ซิมบ้า ทอยส์ (ประเทศไทย) จำกัด เปิดเผยว่า “ซิมบ้า ทอยส์ ไทยแลนด์” เป็นบริษัทร่วมทุนระหว่าง “ซิมบ้า” ซึ่งเป็นบริษัททุนเยอรมนียักษ์ใหญ่ด้านของเด็กเล่นอันดับ 3 ของยุโรป กับ บริษัท วันเดอร์เวิร์ล โปรดักส์ จำกัด เพื่อทำตลาดของเด็กเล่นในประเทศไทยให้แก่ “วันเดอร์เวิร์ล” และจัดจำหน่ายแบรนด์ของเด็กเล่นของ “ซิมบ้า” ที่มีมากกว่า 10 แบรนด์ในไทยและอาเซียน ซึ่งได้เริ่มดำเนินการมาตั้งแต่ปลายปี 2556
“การร่วมทุนที่เกิดขึ้น ซิมบ้า จะดูแลด้านการตลาดและการขายในประเทศไทย รวมถึงในอาเซียนให้แก่ วันเดอร์เวิร์ล ส่วนตลาดส่งออก วันเดอร์เวิร์ล ยังจะดูแลเองทั้งหมด ทั้งยังมองว่าตลาดของเด็กเล่นไทยมีศักยภาพและยังมีโอกาสเติบโตอยู่ในปีนี้ โดยเฉพาะของเด็กเล่นในเซกเมนต์มูฟวีและเอดูเคชันทอยส์”
ในส่วนของแผนการดำเนินงานของบริษัทฯ จะเริ่มอย่างจริงจังในปีนี้เป็นต้นไปด้วยการใช้งบการตลาดที่ 7% ของยอดขาย เน้นการทำตลาดในช่องทางอะโบฟเดอะไลน์เป็นหลัก เช่น การจัดกิจกรรมให้ความรู้ สร้างประสบการณ์แก่กลุ่มเป้าหมายภายในห้างสรรพสินค้ามากยิ่งขึ้น รวมถึงนำเข้าแบรนด์ของเด็กเล่นของ “ซิมบ้า” ที่มีมากกว่า 10 แบรนด์เข้ามาจำหน่ายในไทยและอาเซียน
ในช่วงปีที่ผ่านมาได้เริ่มนำเข้าแบรนด์ของเด็กเล่น “ซิมบ้า” เข้ามาทำตลาดบ้างแล้ว เช่น “มาเจอร์เรต” (MAJORRETTE) ซึ่งเป็นโมเดลรถที่ทำจากเหล็ก สำหรับเด็กอายุ 3 ขวบขึ้นไปและกลุ่มนักสะสม “ดิกกี้” (DICKIE) ของเด็กเล่นเด็กเล็กประเภทรถของเด็กเล่นสำหรับเด็กอายุ 3 ขวบขึ้นไป และ “บีคิดส์” (B KIDS) ของเด็กเล่นเด็กแรกเกิด เป็นต้น
นางสาวสโรชินี กล่าวต่อว่า การทำตลาดหลังจากนี้จะเน้นแบรนด์ “วันเดอร์เวิร์ล” และ “มาเจอร์เรต” เป็นหลัก โดยเชื่อว่ารายได้จากทั้งสองแบรนด์จะอยู่ที่ 50% เท่าๆ กัน พร้อมมั่นใจว่าจบปีงบประมาณ 2558 (พ.ค.58-เม.ย.59) บริษัทจะมีรายได้โตขึ้น 20% จากปีก่อนปิดรายได้ 100 ล้านบาท โดยรายได้มากกว่า 50% มาจากแบรนด์ “วันเดอร์เวิร์ล”
ส่วนแผนการดำเนินงานในอาเซียนได้เริ่มจัดจำหน่ายไปแล้วในประเทศลาวกับ 2 แบรนด์หลักที่จะเป็นหัวหอกสำคัญคือ “วันเดอร์เวิร์ล” และ “มาเจอร์เรต” โดยในปีนี้กำลังพิจารณาที่จะเข้าไปทำตลาดในประเทศอื่นๆ เพิ่มอีก โดยจะเน้นโมเดลการจอยต์เวนเจอร์เช่นเดียวกับในประเทศไทย โดยตั้งเป้ารายได้ของแต่ละประเทศในอนาคตไว้ที่ 50% เท่าๆ กันเมื่อเทียบกับรายได้ในประเทศไทย