“ทรูวิชั่นส์” ส่ง “กล่องพี่ติ๊ก 2” ลงตลาด ดูดทั้งกลุ่มทีวีดิจิตอลและเคเบิล ดาวเทียมในกล่องเดียว กระตุ้นยอด พร้อมปรับเพิ่มเป้ารายได้แพนเทอร์ฯ 30% และลงทุนเพิ่มเป็น 1,000 ล้านบาท ล่าสุดคว้าสิทธ์จัดแข่งลิเวอร์พูลในไทย
นายพีรธน เกษมศรี ณ อยุธยา หัวหน้างานสายงานการพาณิชย์และพัฒนาธุรกิจ บริษัท ทรูวิชั่นส์ จำกัด เปิดเผยว่า บริษัทฯ เตรียมเปิดตัวกล่องดิจิตอลรุ่นใหม่หรือที่เรียกว่า “กล่องพี่ติ๊ก 2” เพื่อเป็นทางเลือกใหม่ให้ผู้บริโภคและผู้ที่มีคูปองจาก กสทช. ด้วย เพราะที่ผ่านมาพบว่าบังเอิญมีปัญหาคูปองตกค้างอีกมากที่ไม่ไปแลกสาเหตุหลักเป็นเพราะกล่องที่มีอยู่มากมายในตลาดรวมไม่จูงใจ อีกทั้งปัญหาของทีวีดิจิตอลเองก็ยังมีอีกมาก
สำหรับ “กล่องพี่ติ๊ก 2” จำหน่ายในราคา 1,690 บาท สามารถใช้ได้ทั้งกับทีวีดิจิตอลกับเคเบิลดาวเทียมในกล่องเดียวกัน ซึ่งเมื่อก่อนนี้ในตลาดรวมยังไม่มี และถ้าใครจองก่อนจะได้รับของแถมเป็นจานดาวเทียม รวมทั้งมีช่อง “ทรู” ให้ชมด้วยซึ่งน่าจะจูงใจผู้บริโภคได้ดี ตั้งเป้าหมายยอดขายกล่องดิจิตอลของ “ทรู” ประมาณ 6 ล้านกล่องภายใน 3 ปีจากปีนี้
ปัจจุบันสมาชิกผู้ใช้บริการ “ทรูวิชั่นส์” สิ้นสุดเมื่อไตรมาสแรกปี 2558 พบว่ามีประมาณ 2,597,000 ราย แบ่งเป็นสมาชิกแบบพรีเมียมแพกเกจจำนวน 305,000 ราย แบบสแตนดาร์ดแพกเกจ จำนวน 714,000 ราย แบบฟรีวิวแพกเกจ จำนวน 557,000 ราย และแบบฟรีทูแอร์ จำนวน 1,020,000 ราย ขณะที่เมื่อเทียบกับไตรมาสแรกปี 2557 พบว่ามีจำนวน 2,354,000 ราย แบ่งเป็น แบบพรีเมียมแพกเกจ จำนวน 327,000 ราย แบบสแตนดาร์ดแพกเกจ จำนวน 450,000 ราย แบบฟรีวิวแพกเกจ จำนวน 700,000 ราย และแบบฟรีทูแอร์ จำนวน 876,000 ราย
นายพีรธนกล่าวถึง บริษัท แพนเทอร์ เอ็นเตอร์เทนเม้นท์ จำกัด ซึ่งเป็นบริษัทลูกของ “ทรูฯ” ด้วยว่า บริษัท แพนเทอร์ฯ ได้ปรับเป้าหมายยอดรายได้รวมปี 2558 เพิ่มขึ้นอีก 25-30% จากเดิมที่ตั้งไว้ที่ 1,000 ล้านบาท รวมทั้งการเพิ่มงบประมาณการลงทุนทั้งหมดจาก 450 ล้านบาทเป็น 1,000 ล้านบาท เนื่องจากธุรกิจที่บริษัทดำเนินการอยู่นั้นวิเคราะห์แล้วมีโอกาสทางการตลาดมากขึ้น และมีอีเวนต์ใหม่ๆ ที่เพิ่งได้สิทธิ์เข้ามาบริหารด้วย
แนวทางของแพนเทอร์ฯ จะมุ่งสู่ความเป็นเอนเตอร์เทนเมนต์อีเวนต์ครบวงจรซึ่งมีมูลค่าตลาดรวมในไทยมากกว่า 20,000 ล้านบาท โดยจะมุ่งเน้นไปที่ 3 ธุรกิจหลัก คือ ดนตรี ซึ่งเป็นกลุ่มที่เมืองไทยพัฒนาไปมากแล้วและมีสัดส่วนตลาดมากกว่า 50% ส่วนกลุ่มกีฬาซึ่งในเมืองไทยกลุ่มนี้ยังเล็กมากเมื่อเทียบกับตลาดโลกที่พัฒนาไปมากแล้ว และกลุ่มแฟมิลีเอนเตอร์เทนเมนต์ซึ่งกลุ่มนี้ก็ยังไม่ใหญ่เท่าไรในตลาดเมืองไทย เช่น พวกโชว์ต่างๆ
“เมื่อสรุปแล้วในสองธุรกิจหลัง คือ กีฬา กับแฟมิลีเอนเตอร์เทนเมนต์จะยังเป็นตลาดที่มีโอกาสในการเติบโตได้อีกมาก ขึ้นอยู่กับว่าอีเวนต์ หรือกิจกรรมที่บริษัทฯ จะพัฒนาขึ้นมา หรือการหาลิขสิทธิ์เข้ามาเปิดตลาดในไทย”
ล่าสุดคือการใช้งบประมาณรวมกว่า 100 ล้านบาท รวมทั้งค่าลิขสิทธิ์ในการจัดการแข่งขัน “ทรู ซูเปอร์ โทรฟี่-ลิเวอร์พูล ทัวร์ 2015” โดย นายวิชย์ สุทธิถวิล กรรมการผู้จัดการ บริษัท แพนเทอร์ฯ กล่าวว่า ประเทศไทยเป็น 1 ใน 3 ประเทศในเอเชียที่ได้รับสิทธิ์เป็นเจ้าภาพจัดการแข่งขันฟุตบอลนัดพิเศษระหว่างสโมสรลิเวอร์พูลกับทีมนักเตะทรูออลสตาร์ วันที่ 14 กรกฎาคม 2558 ณ สนามราชมังคลากีฬาสถาน ราคาบัตร 500 / 900 / 1,800 / 2,800 / 4,000 และ 5,000 บาท เป็นจำนวนกว่า 47,000 ที่นั่ง คาดว่าจะประสบความสำเร็จ เนื่องจากประเทศไทยมีแฟนคลับของลิเวอร์พูลมากถึง 29 ล้านคน
สำหรับความคืบหน้าการประมูลลิขสิทธิ์ฟุตบอลอิงลิชพรีเมียร์ลีกนั้น นายพีรธนกล่าวว่า บริษัทฯ สนใจและพร้อมที่จะเข้าแข่งขันประมูลด้วย แต่ขณะนี้ยังไม่ได้เปิดประมูล