ไทยพรีเมียร์ลีกฟีเวอร์ “ทรูวิชั่นส์” มองอังกฤษพรีเมียร์ลีกเป็นเรื่องรอง และพร้อมเข้าไปร่วมประมูล เพื่อตอกย้ำความเป็น คิง ออฟ สปอร์ต สู่การเป็นผู้นำธุรกิจมีเดียเอ็นเตอร์เทนเม้นท์ ล่าสุด ชู “แพนเทอร์” บริษัทลูกลุยอีเวนต์เต็มสูบ ดึง “เซิร์ค ดู โซเลย์” โชว์ระดับโลก มาไทย ปลายเดือนก.ค.นี้ มั่นใจดันสู่ความเป็น ผู้นำแฟมิลี่เอ็นเตอร์เทนเม้นท์ พร้อมโกยรายได้ 1,000 ล้านบาทโตจากปีก่อน 100%
นายพีรธน เกษมศรี ณ อยุธยา หัวหน้า สายงานการพาณิชย์และพัฒนาธุรกิจ บริษัท ทรูวิชั่นส์ กรุ๊ป จำกัด เปิดเผยว่า ทรูวิชั่นส์ ต้องการที่จะเป็นผู้นำธุรกิจมีเดียเอ็นเตอร์เทนต์อย่างสมบูรณ์ ซึ่งคอนเทนต์หลักที่จะทำให้ประสบความสำเร็จมีอยู่ 2 กลุ่ม คือ 1. สปอร์ต เอ็นเตอร์เทนเม้นท์ โดยปีนี้จะนำเอา ฟุตบอล มอเตอร์สปอร์ต และกอล์ฟที่เป็นการแข่งขันระดับเวิลด์คลาสเข้ามาให้สมาชิกรับชมมากขึ้น 2.มิวสิค เอ็นเตอร์เทนเม้นท์ ปัจจุบันมีทั้งศิลปินเอเอฟ เดอะวอยซ์ และมีเพลงอยู่กว่า 500 เพลง จะมีการบริหารต่อยอดให้ดีขึ้น ผ่านอีเวนต์ คอนเสิร์ต รวมถึงนำเข้าโชว์จากต่างประเทศมากขึ้น
โดยในส่วนของสปอร์ตเอ็นเตอร์เทนเม้นท์ ปัจจุบันพบว่า ฟุตบอลไทยพรีเมียร์ลีกเป็นที่ได้รับความสนใจอย่างมาก จนกลายเป็นคอนเทนต์หลักที่มีเรตติ้งการรับชมสูงสุด เมื่อเทียบกับรายการอื่นๆของทางทรูวิชั่นส์ทั้งหมด ส่วนหนึ่งมองว่า คนไทยมีความรักชาติ และเชียร์นักกีฬาไทย บวกกับฟุตบอลไทยกำลังพัฒนาอย่างต่อเนื่อง ทำให้กระแสฟุตบอลไทยดีมาก จากเดิมฐานสมาชิกในช่วง 12 เดือนก่อน อาจจะลดหายไปบ้าง จากการที่ไม่มีอังกฤษพรีเมียร์ลีก แต่ปัจจุบันไทยพรีเมียร์ลีกเป็นส่วนสำคัญที่ทำให้ยอดสมาชิกกลับมาเพิ่มขึ้นได้อีกครั้ง แต่ยอมรับว่าสนใจที่จะเข้าร่วมประมูลพรีเมียร์ลีกเช่นกัน
“พรีเมียร์ลีกของอังกฤษ ปัจจุบันกลายเป็นคอนเทนต์ที่สามารถรับชมได้ทั่วไป ไม่เอ็กซ์คลูซีฟอย่างที่ผ่านมา การนำกลับมาอีกครั้งอาจจะประสบความสำเร็จยาก แต่มองเป็นโอกาส เพื่อนำไปสู่ความเป็น คิง ออฟ สปอร์ตส์ คอนเทนต์กีฬาที่ดีที่สุดในโลกต้องอยู่ที่ทรูวิชั่นส์ อย่างไรก็ตามปีหน้าก็จะเข้าไปร่วมประมูลในฤดูกาลใหม่ที่จะถึงนี้ แต่จะไม่ลงประมูลในราคาที่สูงมาก ต้องดูความคุ้มทุนที่จะได้ด้วยเช่นกัน” นายพีรธน กล่าว
สำหรับธุรกิจ ด้านมิวสิค เอ็นเตอร์เทนเท้นท์ ปีนี้ในส่วนของบริษัท แพนเทอร์ เอ็นเตอร์เทนเม้นท์ จำกัด ซึ่งเป็นบริษัทลูกของทรูวิชั่นส์ ดูแลในส่วนของธุรกิจโชว์บิซ ทั้งเอเอฟ และเดอะวอยซ์ จะรุกนำโชว์ระดับเวิลด์คลาสจากต่างประเทศเข้ามาในไทยมากขึ้น โดยจะเน้นกลุ่มโชว์ในเซกเม้นท์แฟมิลี่เอ็นเตอร์เทนเม้นท์ ซึ่งปัจจุบันมูลค่าตลาดเพียง 5,000 ล้านบาท ยังมีโอกาสที่จะเติบโตได้อีกมาก
ล่าสุดร่วมกับผลิตภัณฑ์อาหารซีพี และทรูคอร์ปอเรชั่น เป็นผู้สนับสนุนหลักอย่างเป็นทางการ ด้วยการทุ่มงบกว่า 200 ล้านบาท นำการแสดงโชว์ที่ยิ่งใหญ่ระดับโลก “เซิร์ค ดู โซเลย์ มนตรามายาพิศวง Quidam Live in Bangkok 2015” (คิดาม ไลฟ์ อิน แบงคอก 2015) เข้ามาแสดงในไทย ระหว่างวันที่ 29ก.ค. -3 ส.ค. นี้ ที่ อิมแพค อารีนา เมืองทองธานี รวม 6 วัน 11 รอบ บัตรราคาตั้งแต่ 1,000-5,000 บาท คาดว่าจะมีผู้เข้าชมกว่า 70,000 คน หรือน่าจะมีรายได้จากโชว์ราว 200 ล้านบาท เช่นกัน
“เซิร์ค ดู โซเลย์ ถือเป็นก้าวแรกของการรุกโชว์จากต่างประเทศ แต่ถือเป็นโชว์ต่างประเทศที่มีขนาดและการลงทุนสูงสุด ที่นำเข้ามาในเมืองไทย ขณะที่ปีหน้าจะนำโชว์ต่างประเทศที่มีขนาดใหญ่กว่านี้เข้ามาอีกอย่างต่อเนื่อง เชื่อว่าจะส่งผลให้บริษัทก้าวขึ้นเป็นผู้นำด้านแฟมิลี่เอ็นเตอร์เทนเท้นท์ต่อไป”
อย่างไรก็ตามในส่วนของแพนเทอร์ ปีนี้ยังมีอีเวนต์ในประเทศอีก 5-6 งาน รวมกับเซิร์ค ดู โซเลย์ แล้ว จะทำให้รายได้ปีนี้โตขึ้น 100% หรือสูงกว่า 1,000 ล้านบาท โดยปีหน้าจะมีอัตราการเติบโตอีก 100% เช่นกัน ซึ่งจะส่งผลให้ตลาดรวมแฟมิลี่เอ็นเตอร์เทนเม้นท์โตขึ้นอีก 2-3 เท่าตัวในปี 2559 จากปัจจุบันมีมูลค่าอยู่ที่ 5,000 ล้านบาท
นายพีรธน เกษมศรี ณ อยุธยา หัวหน้า สายงานการพาณิชย์และพัฒนาธุรกิจ บริษัท ทรูวิชั่นส์ กรุ๊ป จำกัด เปิดเผยว่า ทรูวิชั่นส์ ต้องการที่จะเป็นผู้นำธุรกิจมีเดียเอ็นเตอร์เทนต์อย่างสมบูรณ์ ซึ่งคอนเทนต์หลักที่จะทำให้ประสบความสำเร็จมีอยู่ 2 กลุ่ม คือ 1. สปอร์ต เอ็นเตอร์เทนเม้นท์ โดยปีนี้จะนำเอา ฟุตบอล มอเตอร์สปอร์ต และกอล์ฟที่เป็นการแข่งขันระดับเวิลด์คลาสเข้ามาให้สมาชิกรับชมมากขึ้น 2.มิวสิค เอ็นเตอร์เทนเม้นท์ ปัจจุบันมีทั้งศิลปินเอเอฟ เดอะวอยซ์ และมีเพลงอยู่กว่า 500 เพลง จะมีการบริหารต่อยอดให้ดีขึ้น ผ่านอีเวนต์ คอนเสิร์ต รวมถึงนำเข้าโชว์จากต่างประเทศมากขึ้น
โดยในส่วนของสปอร์ตเอ็นเตอร์เทนเม้นท์ ปัจจุบันพบว่า ฟุตบอลไทยพรีเมียร์ลีกเป็นที่ได้รับความสนใจอย่างมาก จนกลายเป็นคอนเทนต์หลักที่มีเรตติ้งการรับชมสูงสุด เมื่อเทียบกับรายการอื่นๆของทางทรูวิชั่นส์ทั้งหมด ส่วนหนึ่งมองว่า คนไทยมีความรักชาติ และเชียร์นักกีฬาไทย บวกกับฟุตบอลไทยกำลังพัฒนาอย่างต่อเนื่อง ทำให้กระแสฟุตบอลไทยดีมาก จากเดิมฐานสมาชิกในช่วง 12 เดือนก่อน อาจจะลดหายไปบ้าง จากการที่ไม่มีอังกฤษพรีเมียร์ลีก แต่ปัจจุบันไทยพรีเมียร์ลีกเป็นส่วนสำคัญที่ทำให้ยอดสมาชิกกลับมาเพิ่มขึ้นได้อีกครั้ง แต่ยอมรับว่าสนใจที่จะเข้าร่วมประมูลพรีเมียร์ลีกเช่นกัน
“พรีเมียร์ลีกของอังกฤษ ปัจจุบันกลายเป็นคอนเทนต์ที่สามารถรับชมได้ทั่วไป ไม่เอ็กซ์คลูซีฟอย่างที่ผ่านมา การนำกลับมาอีกครั้งอาจจะประสบความสำเร็จยาก แต่มองเป็นโอกาส เพื่อนำไปสู่ความเป็น คิง ออฟ สปอร์ตส์ คอนเทนต์กีฬาที่ดีที่สุดในโลกต้องอยู่ที่ทรูวิชั่นส์ อย่างไรก็ตามปีหน้าก็จะเข้าไปร่วมประมูลในฤดูกาลใหม่ที่จะถึงนี้ แต่จะไม่ลงประมูลในราคาที่สูงมาก ต้องดูความคุ้มทุนที่จะได้ด้วยเช่นกัน” นายพีรธน กล่าว
สำหรับธุรกิจ ด้านมิวสิค เอ็นเตอร์เทนเท้นท์ ปีนี้ในส่วนของบริษัท แพนเทอร์ เอ็นเตอร์เทนเม้นท์ จำกัด ซึ่งเป็นบริษัทลูกของทรูวิชั่นส์ ดูแลในส่วนของธุรกิจโชว์บิซ ทั้งเอเอฟ และเดอะวอยซ์ จะรุกนำโชว์ระดับเวิลด์คลาสจากต่างประเทศเข้ามาในไทยมากขึ้น โดยจะเน้นกลุ่มโชว์ในเซกเม้นท์แฟมิลี่เอ็นเตอร์เทนเม้นท์ ซึ่งปัจจุบันมูลค่าตลาดเพียง 5,000 ล้านบาท ยังมีโอกาสที่จะเติบโตได้อีกมาก
ล่าสุดร่วมกับผลิตภัณฑ์อาหารซีพี และทรูคอร์ปอเรชั่น เป็นผู้สนับสนุนหลักอย่างเป็นทางการ ด้วยการทุ่มงบกว่า 200 ล้านบาท นำการแสดงโชว์ที่ยิ่งใหญ่ระดับโลก “เซิร์ค ดู โซเลย์ มนตรามายาพิศวง Quidam Live in Bangkok 2015” (คิดาม ไลฟ์ อิน แบงคอก 2015) เข้ามาแสดงในไทย ระหว่างวันที่ 29ก.ค. -3 ส.ค. นี้ ที่ อิมแพค อารีนา เมืองทองธานี รวม 6 วัน 11 รอบ บัตรราคาตั้งแต่ 1,000-5,000 บาท คาดว่าจะมีผู้เข้าชมกว่า 70,000 คน หรือน่าจะมีรายได้จากโชว์ราว 200 ล้านบาท เช่นกัน
“เซิร์ค ดู โซเลย์ ถือเป็นก้าวแรกของการรุกโชว์จากต่างประเทศ แต่ถือเป็นโชว์ต่างประเทศที่มีขนาดและการลงทุนสูงสุด ที่นำเข้ามาในเมืองไทย ขณะที่ปีหน้าจะนำโชว์ต่างประเทศที่มีขนาดใหญ่กว่านี้เข้ามาอีกอย่างต่อเนื่อง เชื่อว่าจะส่งผลให้บริษัทก้าวขึ้นเป็นผู้นำด้านแฟมิลี่เอ็นเตอร์เทนเท้นท์ต่อไป”
อย่างไรก็ตามในส่วนของแพนเทอร์ ปีนี้ยังมีอีเวนต์ในประเทศอีก 5-6 งาน รวมกับเซิร์ค ดู โซเลย์ แล้ว จะทำให้รายได้ปีนี้โตขึ้น 100% หรือสูงกว่า 1,000 ล้านบาท โดยปีหน้าจะมีอัตราการเติบโตอีก 100% เช่นกัน ซึ่งจะส่งผลให้ตลาดรวมแฟมิลี่เอ็นเตอร์เทนเม้นท์โตขึ้นอีก 2-3 เท่าตัวในปี 2559 จากปัจจุบันมีมูลค่าอยู่ที่ 5,000 ล้านบาท