กบง.เคาะรีดเงินแอลพีจี 10 สต./กก. เข้าโปะกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงสะสมไว้ใช้ยามจำเป็น เหตุลงไม่มากทำให้ราคาแอลพีจีขายปลีก พ.ค. คงเดิมที่ 23.96 บาท/กก. ส่งซิกไม่อุ้มน้ำมัน จับตาราคาจ่อขยับขึ้น 0.60 บาทต่อลิตรหลังเชลล์ขึ้นนำแล้ว
นายณรงค์ชัย อัครเศรณี รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน เปิดเผยหลังการประชุมคณะกรรมการบริหารนโยบายพลังงาน (กบง.) เมื่อวันที่ 7 พ.ค.ว่า กบง.ได้พิจารณาราคาก๊าซหุงต้ม (แอลพีจี) เดือน พ.ค.58 ซึ่งจะสะท้อนต้นทุนตลาดโลกเมื่อนำมาคำนวณถ่วงน้ำหนักเฉลี่ยพบว่า ราคาขายปลีกจะลดลง 10 สตางค์ต่อกิโลกรัม (กก.) แต่เนื่องจากเห็นว่าเป็นอัตราน้อยที่จะปรับลดลงไปจึงให้เก็บเงินดังกล่าวส่งเข้ากองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงเพื่อสะสมนำไว้ใช้ในช่วงต่อไป ส่งผลให้ราคาขายปลีกแอลพีจีจะไม่เปลี่ยนแปลงโดยจะอยู่ที่ 23.96 บาทต่อ กก.มีผลตั้งแต่ 8 พ.ค.เป็นต้นไป
“ราคาแอลพีจีเมื่อคิดจากต้นทุนก๊าซฯ ลดลง 1 เหรียญสหรัฐต่อตัน มาอยู่ที่ 345 เหรียญต่อตัน แต่การนำเข้ามีค่าใช้จ่ายที่ลดลง และราคาตลาดโลก หรือ CP อยู่ที่ 489 เหรียญต่อตัน ขึ้น 5 เหรียญต่อตัน แต่เมื่อคำนวณเฉลี่ยถ่วงน้ำหนักจะลดลง 10 สต.ต่อ กก.” รมว.พลังงานก ล่าว
นอกจากนี้ ที่ประชุมยังได้มีการรายงานสถานการณ์ราคาน้ำมันตลาดโลกซึ่งขณะนี้ราคาน้ำมันดิบดูไบมีความผันผวนอยู่ในระดับสูงแตะระดับ 60 เหรียญต่อบาร์เรล แต่ภาพรวมมองว่าจะเฉลี่ยอยู่ที่ 60-70 เหรียญต่อบาร์เรล คงจะไม่ลดลงไประดับ 30-40 เหรียญต่อบาร์เรล แต่ก็จะไม่ขึ้นไปสูงระดับ 100 เหรียญต่อบาร์เรล ขณะที่ราคาแอลพีจีตลาดโลกมีแนวโน้มทรงตัวในระดับสูงอยู่
อย่างไรก็ตาม ราคาขายปลีกน้ำมันของไทยที่ผ่านมา กบง.ได้มีการลดอัตราเงินกองทุนน้ำมันฯ ลงไปแล้วมีผล 1 พ.ค.โดยลดเก็บเงินส่วนของกลุ่มเบนซิน 0.50 บาทต่อลิตร เว้น E85 คงเดิม และดีเซล 0.40 บาทต่อลิตร โดยอาศัยอำนาจ รมว.พลังงานดำเนินการ อย่างไรก็ตาม ล่าสุดบางบริษัทได้มีการปรับราคาขายปลีกน้ำมันไปแล้วจึงเห็นว่าจะไม่เข้าไปแทรกแซงอีก
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า เชลล์ ได้แจ้งนำขึ้นราคาขายปลีกน้ำมันไปแล้วทุกชนิด 0.60 บาทต่อลิตร ซึ่งทำให้มีแนวโน้มว่าผู้ค้ารายอื่นโดยเฉพาะ บมจ.ปตท. และบมจ.บางจาก จะตัดสินใจปรับขึ้นตามหลัง กบง.ไม่ลดอัตราเงินนำส่งกองทุนฯเ พื่อพยุงค่าการตลาด