“คิมเบอร์ลี่ย์-คล๊าค” บุกตลาดโปรเฟสชันนัลต่างประเทศเต็มสูบ หวัง 5 ปีทำรายได้ 30% ส่วนในไทยจัดทัพใหม่ รุกขายแบบโซลูชัน ต่อยอดการขายเดิมเจาะเป็นเซกเมนต์มากขึ้น สู่เป้าการเติบโตปีนี้อีก 14% พร้อมครองแชมป์ 50% ในตลาด B2B มูลค่า 5,000 ล้านบาท
นายกรันย์ แสงไฟ ผู้อำนวยการและผู้จัดการทั่วไป แผนกกลุ่มสินค้าเพื่อธุรกิจ บริษัท คิมเบอร์ลี่ย์-คล๊าค โปรเฟสชันแนล ประจำประเทศไทย พม่า และอินโดจีน เปิดเผยว่า ภาพรวมเศรษฐกิจในปีนี้ยังไม่ดีขึ้น หรือแย่ลง ขณะที่ปีก่อนเป็นปีที่ท้าทาย มีปัจจัยลบต่อธุรกิจของบริษัทฯ มาก ลูกค้าส่วนใหญ่ซึ่งเป็นกลุ่มโรงแรมและโรงงานที่เกี่ยวข้องด้านท่องเที่ยวและยานยนต์ลดลง แต่ในส่วนของบริษัทฯ ยังคงมีอัตราการเติบโตในปีก่อนที่ 14% จากการรุกตลาดใหม่อย่างกลุ่มโรงพยาบาล เป็นต้น
ส่งผลให้ปีนี้บริษัทฯ มีการปรับแผนการดำเนินงานใหม่จากเดิมขายสินค้า B2B มาเป็นขายแบบโซลูชัน โดยเน้นใน 3 เรื่องหลัก คือ 1. สุขภาพ 2. ความปลอดภัย และ 3. การผลิต ภายใต้การดำเนินงาน 5 ข้อ คือ 1. พัฒนาทีมขายในรูปแบบโซลูชัน 2. พัฒนาช่องทางการจัดจำหน่าย ด้วยการนำระบบไอทีเข้ามาช่วย 3. ออกผลิตภัณฑ์ใหม่ที่เน้นเซกเมนต์โดยฉพาะ 4. เข้าถึงเอนด์ยูสเซอร์ในแต่ละเซกเมนต์มากขึ้น และ 5. เร่งการเติบโตในกลุ่มต่างประเทศ CLMV เชื่อมั่นว่าจะส่งให้ปีนี้จะยังคงมีรายได้เติบโตที่ 14%
สำหรับตลาดต่างประเทศในปีที่ผ่านมาได้เริ่มศึกษาและเซตระบบเข้าไปแล้ว เช่น เวียดนาม และกัมพูชา รวมถึงพม่าอย่างจริงจัง โดยเฉพาะเวียดนามถือเป็นประเทศที่มีโอกาสเติบโตสูง แม้ว่าตลาดจะเล็กมาก แต่อัตราการเติบโตในกลุ่ม CLMV มีกว่า 100% ในช่วง 3-5 ปีหลังจากนี้ จึงมองว่ารายได้จากต่างประเทศอีก 5 ปีข้างหน้าจะมีสัดส่วนที่ 30% ของรายได้รวมบริษัทฯ จากปัจจุบันอยู่ที่ 10%
อย่างไรก็ตาม จากแผนการดำเนินงานที่วางไว้จะอยู่ภายใต้งบการลงทุนต่อเนื่องที่ใช้ราว 4-5 ล้านบาททุกปี ขณะที่ในแง่งบการตลาดปีนี้ใช้เพียง 20 ล้านบาท ส่วนการลงทุนด้านการผลิตนั้นได้ที่ลงทุนไปเรียบร้อยแล้วตั้งแต่ 1-2 ปีที่ผ่านมา ล่าสุดในส่วนของการออกผลิตภัณฑ์ใหม่ในช่วงเดือน เม.ย.นี้จะมีการเปิดตัว “แอร์เฟล็ก” กระดาษเช็ดมือที่มาพร้อมนวัตกรรมใหม่เพื่อสิ่งแวดล้อมที่ยั่งยืน
นายกรันย์กล่าวต่อว่า ตลาดรวมกระดาษทิชชูในกลุ่ม B2B มีมูลค่าราว 5,000 ล้านบาท ปีที่ผ่านมาโต 4% จากปกติโต 10% ปีนี้เชื่อว่าจะมีทิศทางไปในทางเดียวกัน หรือเติบโตกว่า GDP ราว 1.5 เท่าเท่านั้น โดยในตลาดแบ่งออกเป็น 2 กลุ่มใหญ่ คือ 1. กระดาษ มูลค่า 3,500 ล้านบาท ซึ่ง “คิมเบอร์ลี่ย์” เป็นผู้นำมีแชร์อยู่ 40% กว่า และ 2. เซฟตี้ 1,500 ล้านบาท “คิมเบอร์ลี่ย์” มีแชร์เพียง 1-2% เท่านั้น โดยในปีนี้เชื่อว่าจากกลยุทธ์ที่วางไว้ พร้อมการเจาะลูกค้าแบบเซกเมนต์มากยิ่งขึ้นจะส่งผลให้ปีนี้มีส่วนแบ่งการตลาดเพิ่มขึ้นไม่ต่ำกว่า 50%