นับเป็นเวลา 5 ปีแล้วที่ บริษัท ราคูเท็น อิงค์ ก้าวเข้าสู่ตลาดของประเทศไทยโดยการรวมตัวกับ ตลาดดอทคอม (Tarad.com) และยังคงดำรงตำแน่งผู้นำแถวหน้าของการปฏิวัติรูปแบบธุรกิจซื้อ-ขาย ออนไลน์
“ราคูเท็น” นับเป็นหนี่งในบริษัทผู้นำการบริการต่างๆ เพื่อประโยชน์สำหรับผู้บริโภคและธุรกิจบนระบบอินเทอร์เน็ตและเป็นผู้บุกเบิกทางด้านธุรกิจ B2B2C ในระดับสากล โดยการนำประสบการณ์พัฒนาร้านค้าที่มากกว่า 15 ปีมาประยุกต์ใช้เพื่อช่วยผู้ประกอบการบนแพลตฟอร์มการขายของ “ราคูเท็น ตลาดดอทคอม” ให้ประสบความสำเร็จมากที่สุด
เนื่องจากการเติบโตอย่างรวดเร็วของจำนวนผู้ใช้งานอุปกรณ์สื่อสารเคลื่อนที่ทั้งสมาร์ทโฟนและแท็บเล็ต “ราคูเท็น ตลาดดอทคอม” จึงได้มีการพัฒนาการตลาดผ่านทางระบบสมาร์ทโฟน เพื่อให้ร้านค้าติดต่อผู้ซื้อได้ง่ายขึ้นและยังเป็นช่องทางในการซื้อขายที่สะดวกและรวดเร็วอีกช่องทางหนึ่ง
“ราคูเท็น ตลาดดอทคอม” เป็นผู้นำด้านเอ็ม-คอมเมิร์ซ โดยมีการเปิดตัวเว็บไซต์ที่รองรับการใช้งานบนมือถือในปี 2012 เพื่อความสะดวกสบายของผู้ใช้สมาร์ทโฟน โดยจำนวนผู้เข้าใช้เว็บไซต์ “ราคูเท็น ตลาดดอทคอม” บนมือถือนั้นนับเป็น 50% ของผู้ใช้ทั้งหมดต่อเดือน อีกทั้งยังเป็นที่มาของรายได้ถึง 33% ต่อเดือนอีกด้วย
เกี่ยวกับบริษัท “ราคูเท็น อิงค์”
บริษัท ราคูเท็น อิงค์ (4755:โตเกียว) ก่อตั้งขึ้นในปี 1997 มีสำนักงานใหญ่อยู่ที่กรุงโตเกียว ประเทศญี่ปุ่น มีพนักงานกว่า 1.1 หมื่นคนทั่วโลก เป็นบริษัทชั้นนำระดับสากลที่เป็นผู้ให้บริการต่างๆ เพื่อประโยชน์สำหรับผู้บริโภคและธุรกิจบนระบบอินเตอร์เน็ต โดยให้บริการด้านธุรกิจอย่างหลากหลายโดยมุ่งเน้นไปที่ พื้นที่ให้การทำธุรกิจร้านค้าออนไลน์ หรืออี-คอมเมิร์ซ การเงินออนไลน์
ตั้งแต่ปี 2012 นิตยสาร Forbes ได้จัดอันดับให้ “ราคูเท็น” เป็น 1 ใน 20 บริษัทที่มีนวัตกรรมยอดเยี่ยม (Top 20 Most Innovative Companies) “ราคูเท็น” ทำการขยายเครือข่ายอย่างต่อเนื่องไปทั่วโลกโดยปัจจุบันครอบคลุมประเทศต่างๆ ในทวีปเอเชีย ยุโรป อเมริกา และกลุ่มประเทศในมหาสมุทรแปซิฟิก สำหรับข้อมูลเพิ่มเติมสามารถเยี่ยมชมได้ที่ http://global.rakuten.com/corp/
เกี่ยวกับ “ราคูเท็น ตลาดดอทคอม”
“ราคูเท็น” เปิดตัวเมื่อปี 1999 โดย “ตลาดดอทคอม” ได้เข้ารวมบริษัทกับ ราคูเท็น กรุ๊ปในปี 2009 ซึ่งตอนนี้ได้โอบอุ้มสินค้าประมาณ 4 ล้านชิ้น จากร้านค้ากว่า 2.5 แสนร้านค้า โดยใช้หลักการ B2B2C (Business to Business to Consumer) และ B2C (Business to Consumer) ด้วยสินค้าที่มีมากมายหลากประเภท ตั้งแต่สินค้าแฟชั่น ความงาม เครื่องสำอาง อุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ จนถึงอาหารและเครื่องดื่ม