กกร.ประเมินส่งออกปีนี้คาดไม่ติดลบ แต่โตได้จิ๊บจ้อย 0.05% แนะรัฐต้องเร่งสร้างความเชื่อมั่น เหตุเอกชนพร้อมลงทุนอยู่แล้ว ส่วนปีนี้เศรษฐกิจไทยจะโตราว 1-1.5% เผยธุรกิจไม่เห็นด้วยลงนามเปิดทางให้ตั้งสหภาพแรงงานต่างด้าวในไทย ส่วนการตั้งกองทุนช่วยเอสเอ็มอี 5 หมื่นล้านขอให้มีความชัดเจน
นายอิสระ ว่องกุศลกิจ ประธานสภาหอการค้าแห่งประเทศไทย ในฐานะประธานคณะกรรมการร่วมภาคเอกชน 3 สถาบัน (กกร.) เปิดเผยว่า ได้มีการประเมินภาวะการส่งออกและเศรษฐกิจของไทยในปีนี้ โดยเห็นว่าขณะนี้แม้การส่งออกจะยังติดลบ แต่แนวโน้มการส่งออกในช่วง 2 เดือนที่เหลือจะดีขึ้น คาดว่าทั้งปีจะขยายตัวเป็นบวกได้ 0.05% ส่วนการท่องเที่ยวจะค่อยๆ ดีขึ้น แต่ยังขยายตัวต่ำกว่าปีก่อน ขณะที่เศรษฐกิจไทยโดยรวมคาดว่าจะปรับตัวดีขึ้นจากการใช้จ่ายภายในประเทศ โดยคาดว่าทั้งปีเศรษฐกิจไทยจะขยายตัวได้ประมาณ 1-1.5%
“กกร.เห็นว่าหากต้องการให้เศรษฐกิจค่อยๆ ขยายตัวดีขึ้น และทำให้ผู้ลงทุนเกิดความเชื่อมั่น รัฐบาลจะต้องเร่งทำให้นักลงทุนเกิดความเชื่อมั่นและพร้อมลงทุน เนื่องจากตอนนี้นักลงทุนพร้อมที่จะลงทุนอยู่แล้ว เพียงแต่ยังรอความชัดเจนและทิศทางจากรัฐบาลว่าจะเดินไปทางไหน” นายอิสระกล่าว
สำหรับการส่งออกในปี 2558 ภาคเอกชนเห็นว่าหากไม่มีปัจจัยอื่นที่ทำให้เศรษฐกิจโลกประสบปัญหามากนัก เชื่อว่าเป้าหมายที่กระทรวงพาณิชย์ตั้งไว้ที่ 4% น่าจะทำได้ โดยเห็นว่าปัจจัยเสี่ยงที่จะกระทบต่อการส่งออกของไทย ก็คือ ความผันผวนของอัตราแลกเปลี่ยนที่อ่อนค่าน้อยกว่าคู่แข่ง ทำให้ผู้ประกอบการไทยมีปัญหาในการแข่งขัน ทั้งกับเวียดนาม มาเลเซีย อินโดนีเซีย เป็นต้น และยังมีความเสี่ยงจากปัญหาการเกิดสงครามในตะวันออกกลาง การระบาดของโรคอีโบลา ที่จะทำให้การส่งออกไปยังประเทศเหล่านี้ลดลง
นายอิสระกล่าวว่า ที่ประชุมยังได้มีมติให้ชะลอการเข้าร่วมลงนามสัตยาบันอนุสัญญาองค์การแรงงานระหว่างประเทศอย่างไม่มีกำหนด โดยฉบับที่ 87 ว่าด้วยเสรีภาพในการสมาคมและคุ้มครองสิทธิในการรวมตัว หรือการตั้งสหภาพแรงงานคนต่างด้าวในไทย และฉบับที่ 98 ว่าด้วยสิทธิในการรวมตัวและการเจรจาต่อรอง หลังจากที่องค์การแรงงานระหว่างประเทศ (ไอแอลโอ) ขอให้ประเทศสมาชิก 183 ประเทศ ลงนามรับสัตยาบันอนุสัญญาฉบับดังกล่าว
“ผู้ประกอบการที่เป็นสมาชิก กกร. ส่วนใหญ่เกือบ 100% ไม่เห็นด้วยกับการลงนามดังกล่าว เพราะไทยยังไม่มีความพร้อมที่จะให้มีการตั้งสหภาพแรงงานต่างด้าว ซึ่งปัจจุบันมีประมาณ 3 ล้านคน ส่วนใหญ่เป็นแรงงานมจากพม่า กัมพูชา ลาว เวียดนาม และอื่นๆ ประกอบกับขณะนี้ไทยอยู่ระหว่างการจัดระเบียบแรงงานต่างด้าว ทำให้อาจส่งผลกระทบต่อการจัดระบบในภาพรวมได้ แต่ยืนยันได้ว่าไทยมีมาตรการดูแลแรงงานต่างด้าวเป็นอย่างดี และในอนาคตหากมีความพร้อมก็จะมาพิจารณากันใหม่ ซึ่งเท่าที่ทราบ หลายๆ ประเทศก็ยังไม่มีการลงนาม”
นายสุพันธุ์ มงคลสุธี ประธานสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ส.อ.ท.) กล่าวว่า การตั้งกองทุนช่วยเหลือผู้ประกอบการขนาดกลางและขนาดย่อม (เอสเอ็มอี) ของกระทรวงการคลัง ด้วยงบประมาณ 50,000 ล้านบาท มองว่าเพียงพอต่อความช่วยเหลือในระยะแรก แต่มีสิ่งที่ต้องคำนึงและให้ความสำคัญ คือ รูปแบบการจัดการและโครงสร้างของกองทุน และคุณสมบัติของผู้ประกอบการที่ขอใช้กองทุน โดยเรื่องดังกล่าวหน่วยงานที่เกี่ยวข้องต้องให้ความสำคัญ
“แนวคิดการจัดตั้งกองทุนร่วมลงทุนเพื่อช่วยเหลือเอสเอ็มอี กกร.มองว่าจะเป็นประโยชน์ โดยวงเงินดังกล่าวเพียงพอในการสนับสนุนเอสเอ็มอี แต่อยากให้ภาครัฐกำหนดกรอบกติกา และรายละเอียดในการสนับสนุนให้ชัดเจนมากขึ้น เพราะที่ผ่านมา สำนักงานวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม (สสว.) เคยจัดตั้งกองทุนดังกล่าวก็ไม่ประสบความสำเร็จ”