ASTVผู้จัดการรายวัน - “ชาร์ป” มั่นใจหลังไทยมีรัฐบาลชัดเจน เดินหน้าลุยต่อเนื่องในไทย รุกตลาดบีทูบี พร้อมเปิดตัวทีวีรุ่นใหม่ ยอมรับปีนี้พลาดเป้า มั่นใจปีหน้ารายได้ 6,500 ล้านบาท
นายมาซามิ โออุเอะ กรรมการผู้จัดการ บริษัท ชาร์ป ไทย จำกัด เปิดเผยว่า ภายหลังจากที่ประเทศไทยมีรัฐบาลบริหารประเทศชัดเจนแล้ว รวมทั้งปัญหาความวุ่นวายทางการเมืองสงบลงส่งผลต่อภาพรวมเศรษฐกิจของไทยที่จะดีขึ้น อีกทั้งสัญญาณทางยอดขายเริ่มกลับมาดีขึ้นแล้ว ทำให้บริษัทฯ มีความมั่นใจในการทำธุรกิจมากขึ้น ซึ่งที่ผ่านมามีปัญหาความวุ่นวายทางการเมือง บริษัทแม่ของชาร์ปที่ญี่ปุ่นก็รับทราบ และเข้าใจมาตลอด แต่ยังคงโฟกัสประเทศไทยเป็นตลาดเป้าหมายสำคัญอยู่เหมือนเดิม
ในตลาดอาเซียน ประเทศไทยสร้างรายได้ให้ “ชาร์ป” เป็นอันดับที่ 3 ด้วยสัดส่วน 10% ขณะที่ตลาดใหญ่สุดคือ อินโดนีเซีย เนื่องจากมีประชากรมาก มีสัดส่วนรายได้ประมาณ 40% ส่วนอันดับที่ 2 คือ มาเลเซีย มีส่วนแบ่งรายได้ 15-20% และที่เหลือเป็นประเทศอื่นๆ รวมกัน
ล่าสุด บริษัทฯ ได้ขยายธุรกิจต่อเนื่อง โดยวางแผนรุกธุรกิจทางด้านช่องทาง “บีทูบี” หรือธุรกิจกับธุรกิจ (Business to Business) ซึ่งจะเริ่มจริงจังในปีนี้คือ เป็นการทำตลาดระหว่างองค์กรกับองค์กรด้วยกันในเชิงธุรกิจ ไม่ใช่ลูกค้าผู้บริโภค โดยบริษัทฯ จะมีการทำตลาดในรูปแบบบีทูบีหลากหลาย ทั้งสินค้าเก่าที่ทำตลาดอยู่แล้วในช่องทางคอนซูเมอร์ กับสินค้าใหม่ที่ยังไม่เคยทำตลาดในไทยก็เริ่มด้วยการทำบีทูบีด้วย เช่น สินค้า “แอลอีดี ไลท์ติ้ง” ซึ่งมีทำตลาดในญี่ปุ่นแล้วแต่ในไทยกำลังจะเริ่ม รวมถึงสินค้า “โซลาร์เซลล์” ซึ่งเดิมมีอยู่แล้ว แต่จะเพิ่มในส่วนของ “รูฟท็อป” และเครื่องมืออุปกรณ์ทางการแพทย์ เป็นต้น
นอกจากนั้น ได้เปิดตัวสินค้าใหม่ในกลุ่มโทรทัศน์อีกด้วยเพื่อรุกตลาดในช่วง 6 เดือนหลังจากนี้คือ โทรทัศน์ “ชาร์ป อควอส ควอทรอน โปร” เป็นเทคโนโลยี 4 แม่สีบนจอภาพแอลอีดีทีวี ความละเอียดสูงฟูลเอชดี ให้รายละเอียดภาพกับจอภาพแบบ 4K ซึ่งมีให้เลือก 3 ขนาดคือ ขนาด 60 นิ้ว ราคา 94,990 บาท ขนาด 70 นิ้ว ราคา 154,990 บาท และขนาด 80 นิ้ว ราคา 299,990 บาท โดยตั้งเป้าหมายยอดขายสินค้าใหม่นี้ 2,000 เครื่อง ภายใน 1 ปี
อย่างไรก็ตาม “ชาร์ป” ยังคงมุ่งเน้นการทำตลาดทีวีจอเล็กควบคู่ไปด้วย คือ ขนาดตั้งแต่ 40 นิ้วลงมา เนื่องจากว่าตลาดทีวีมากกว่า 70% ยังอยู่ในกลุ่มจอเล็กกว่า 40 นิ้วลงมา ส่วนตลาดรวมทีวีในปีนี้คาดว่าจะมีประมาณ 2.7 ล้านเครื่อง มีอัตราเติบโต 24% เพราะปัจจัยบวก เช่น การเกิดขึ้นของทีวีดิจิตอล รวมถึงการแข่งขันฟุตบอลโลกเมื่อกลางปีที่ผ่านมา โดยส่วนแบ่งการตลาดทีวีของ “ชาร์ป” อยู่ในลำดับที่ 6 ของตลาดรวมในไทย ตั้งเป้าหมายส่วนแบ่งการตลาดเพิ่มขึ้นเป็น 10% ในปี 2558 จากเดิม 6%
สำหรับผลประกอบการปีงบประมาณ 2014 ที่จะจบในเดือนมีนาคม 2558 นั้น นายมาซามิ กล่าวว่า คาดว่าผลประกอบการอาจจะทำได้ประมาณ 6,000 ล้านบาท เติบโต 10% ซึ่งเดิมทีตั้งไว้ที่ 15% ตั้งแต่ก่อนช่วงเกิดความวุ่นวายทางการเมืองที่ผ่านมา ส่วนปีงบประมาณ 2558 ซึ่งจะเริ่มเดือนเมษายน 2558 ถึงเดือนมีนาคม 2559 คาดว่าจะทำรายได้รวม 6,500 ล้านบาท เติบโต 20% โดยสัดส่วนรายได้มาจากกลุ่มโทรทัศน์ 35% กลุ่มเครื่องใช้ไฟฟาขนาดเล็ก 50% โซลาร์เซลล์ และเครื่องถ่ายเอกสาร อีก 15%