ETDA เผยพฤติกรรมผู้ใช้อินเทอร์เน็ตปี 57 ของคนไทย ติดเน็ตงอมแงมใช้กันวันละกว่า 7 ชั่วโมง เน้นใช้คุยออนไลน์ผ่านโซเชียลมีเดียเกือบ 80% แฉ “เช็ก แชร์ โชว์” ส่งผลเสี่ยงอันตรายสูง แถมไม่ยอมติดตั้งโปรแกรมป้องกันไวรัสกว่าครึ่ง เพศที่สามมาแรงใช้เน็ตกระจาย
นางเมธินี เทพมณี ปลัดกระทรวงเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร หรือ ICT กล่าวเปิดงานแถลงข่าวเรื่อง “ผลการสำรวจพฤติกรรมผู้ใช้อินเทอร์เน็ตในประเทศไทย ปี 2557” ที่จัดทำโดย สำนักงานพัฒนาธุรกรรมทางอิเล็กทรอนิกส์ (องค์การมหาชน) หรือ สพธอ. (ETDA) พร้อมกล่าวชื่นชม ETDA ที่ให้ความสำคัญต่อการจัดทำข้อมูลเกี่ยวกับลักษณะของผู้ใช้และพฤติกรรมการใช้อินเทอร์เน็ตของคนไทยที่มีคุณภาพอย่างต่อเนื่อง เพื่อเป็นกระจกสะท้อนพฤติกรรมการใช้อินเทอร์เน็ตจากภาคประชาชนทุกกลุ่มอันจะเป็นประโยชน์ต่อทั้งหน่วยงานภาครัฐและภาคเอกชน สอดคล้องกับนโยบายของรัฐบาลที่มุ่งส่งเสริมให้ประชาชนได้เข้าถึงอินเทอร์เน็ตอย่างทั่วถึงและเท่าเทียมกันผ่านโครงการ Smart Thailand พร้อมขอบคุณคนไทยทั้งประเทศที่ให้ความร่วมมือเป็นอย่างดีต่อการสำรวจในครั้งนี้
ด้าน นางสุรางคณา วายุภาพ ผู้อำนวยการ สำนักงานพัฒนาธุรกรรมอิเล็กทรอนิกส์ (องค์การมหาชน) หรือ สพธอ. (ETDA) เปิดเผยว่า “ผลสำรวจพฤติกรรมผู้ใช้อินเทอร์เน็ตในประเทศไทย ปี 2557” พบว่าอินเทอร์เน็ตได้เพิ่มบทบาทในการใช้ชีวิตประจำวันของคนไทยมากขึ้นกว่าเดิมมาก โดยค่าเฉลี่ยของการใช้อินเทอร์เน็ตต่อสัปดาห์จากการใช้งานโดยเฉลี่ย 32.3 ชั่วโมงต่อสัปดาห์ หรือใช้เวลาโดยประมาณ 4.6 ชั่วโมงต่อวันในปี 2556 เพิ่มขึ้นเป็น 50.4 ชั่วโมงต่อสัปดาห์ หรือใช้เวลาโดยประมาณ 7.2 ชั่วโมงต่อวัน หรือ 1 คนใช้เวลาเกือบ 1 ใน 3 ของวันเพื่อใช้งานอินเทอร์เน็ต นอกจากนี้ยังพบว่า “กลุ่มเพศที่สาม” มีจำนวนชั่วโมงการใช้งานอินเทอร์เน็ตสูงโดยมีค่าเฉลี่ยอยู่ที่ 62.1 ชั่วโมงต่อสัปดาห์
คนนิยมใช้ “สมาร์ทโฟน” มากถึง 6.6 ชั่วโมงต่อวัน
ผู้คนมีการใช้งานอินเทอร์เน็ตกันตลอดเวลา โดยในแต่ละช่วงเวลาจะมีพฤติกรรมการใช้อินเทอร์เน็ตในอุปกรณ์ต่างๆ ที่แตกต่างกันไป โดย “สมาร์ทโฟน” เป็นอุปกรณ์ที่มีการใช้งานสูงเกือบทั้งวัน เฉลี่ยสูงถึง 6.6 ชั่วโมงต่อวัน ส่วนการใช้งาน “สมาร์ททีวี” ในยุคทีวีดิจิตอลระยะเริ่มต้น พบว่า 8.4% ของผู้ตอบมีการใช้อุปกรณ์นี้และกลุ่มผู้ใช้งานมีการใช้งานเฉลี่ย 3.4 ชั่วโมงต่อวัน
ผู้ใช้งานอินเทอร์เน็ตผ่านอุปกรณ์เคลื่อนที่ (Mobile Device) ใช้อินเทอร์เน็ตเพื่อวัตถุประสงค์ด้านความบันเทิงและการติดต่อสื่อสาร โดยกิจกรรมหลัก 3 อันดับแรก ได้แก่ อันดับหนึ่งใช้เพื่อการพูดคุยผ่านเครือข่ายสังคมออนไลน์ 78.2% อันดับสองใช้เพื่ออ่านข่าวและหนังสืออิเล็กทรอนิกส์ 57.6% และอันดับสามใช้เพื่อค้นหาข้อมูล 56.5% ในขณะที่ผู้ใช้งานอินเทอร์เน็ตผ่านคอมพิวเตอร์ใช้อินเทอร์เน็ตในกิจกรรมที่ต้องเกี่ยวข้องกับข้อมูล โดยมีกิจกรรมหลัก 3 อันดับแรก ได้แก่ อันดับหนึ่งใช้เพื่อรับ-ส่งอีเมล์ 82.6% อันดับสองใช้เพื่อค้นหาข้อมูล 73.3% และอันดับสามใช้เพื่ออ่านข่าวและหนังสืออิเล็กทรอนิกส์ 63.8%
ข้อน่าสังเกตจากการสำรวจครั้งนี้คือ “กลุ่มเพศที่สาม” เป็นกลุ่มที่ใช้อินเทอร์เน็ตผ่านอุปกรณ์เคลื่อนที่มากกว่ากลุ่มอื่นๆ ในหลายกิจกรรม ได้แก่ การใช้งานสังคมเครือข่ายออนไลน์ 85.6% การอ่าน หรือติดตามข่าวสารและหนังสืออิเล็กทรอกนิกส์ 64.7% การซื้อขายสินค้าและบริการ 39.1% ในขณะที่กลุ่มเพศหญิงเล่นเกมออนไลน์ผ่านอุปกรณ์เคลื่อนที่มากกว่ากลุ่มอื่นๆ 52.6%
“เช็ก แชร์ โชว์” สุ่มเสี่ยงเกิดอันตราย
นอกจากนั้น ในการสำรวจพฤติกรรมผู้ใช้อินเทอร์เน็ตยังมีการสำรวจข้อมูลที่น่าสนใจเพิ่มเติมคือ “พฤติกรรมการใช้อินเทอร์เน็ตที่สุ่มเสี่ยง” และ “พฤติกรรมการทำธุรกรรมทางอิเล็กทรอนิกส์ผ่านอุปกรณ์เคลื่อนที่และพฤติกรรมการใช้อุปกรณ์เคลื่อนที่ที่สุ่มเสี่ยง” อีกด้วย เนื่องจากกระแสสังคมออนไลน์ทำให้พฤติกรรมของคนเปลี่ยนแปลงจากการพูดคุยกันมาเป็นการ “เช็ก แชร์ และโชว์”
“เช็ก” คือการเช็กอินผ่านเฟซบุ๊กเพื่อบอกให้คนในกลุ่มสนทนาออนไลน์รู้ว่าตอนนี้ตนทำอะไรอยู่ที่ไหน ส่วน “แชร์” คือการโพสต์ หรือแชร์ภาพที่เป็นส่วนตัวในสถานะสาธารณะเพื่อให้มีคนติดตาม หรือเพื่อดึงดูดความสนใจจากโลกสังคมออนไลน์ โดยเฉพาะตอนนี้ที่วัยรุ่นไทยชอบถ่ายรูปตัวเอง หรือที่ฮิตติดปากกันในขณะนี้ว่า “เซลฟี่” (Selfie) ส่วน “โชว์” คือการเซตสถานภาพของตนเองในเครือข่ายสังคมออนไลน์ให้เป็นสาธารณะเพื่อที่ว่าใครที่สนใจจะเข้ามาเป็นเพื่อนกับตนก็จะสามารถเห็นข้อมูลส่วนตัวได้ทุกคน
พฤติกรรมต่างๆ เหล่านี้ล้วนสุ่มเสี่ยงต่อการถูกจับตามองโดยมิจฉาชีพ หรือผู้ไม่ประสงค์ดีที่อาจจะติดตามเฝ้าดูพฤติกรรมของผู้ใช้งานจากการ “เช็ก แชร์ และโชว์” เพื่อหวังผลในทรัพย์สินเงินทอง หรือชีวิต จากผลการสำรวจพบว่า กิจกรรมดังกล่าวข้างต้นเป็น 3 กิจกรรมสุดฮิตในขณะนี้ โดยเฉพาะ “เพศที่สาม” จะมีสัดส่วนการทำกิจกรรมดังกล่าวสูงกว่าเพศชายและหญิง ในขณะที่คนอายุมากกว่า 60 ปีขึ้นไปจะมีความสุ่มเสี่ยงในเรื่องของการแชร์ภาพ หรือข้อความที่อาจจะไม่เหมาะสม โดยไม่ตรวจสอบความถูกต้องและความน่าเชื่อถือของข้อมูลและแหล่งที่มาก่อน
แนะการทำธุรกรรมการเงินผ่านโทรศัพท์มือถือ
ส่วนการทำธุรกรรมทางอิเล็กทรอนิกส์ผ่านอุปกรณ์เคลื่อนที่ จากผลการสำรวจพบว่า มีคนซื้อของผ่านอุปกรณ์เคลื่อนที่ เช่น สมาร์ทโฟน แท็บเล็ต พีซี เพียง 38.8% ขณะที่มีคนทำธุรกรรมทางการเงินผ่านอุปกรณ์เคลื่อนที่เพียง 29.8% เท่านั้น
“พฤติกรรมที่ยังไม่เปลี่ยนแปลงคือ คนซื้อของแพงชอบจ่ายเงินผ่านบัตรเครดิต ส่วนคนซื้อของถูกชอบโอนเงินผ่านธนาคารมากกว่า ในขณะที่คนชอบโอนเงินมูลค่ามากกว่า 5 หมื่นบาททำธุรกรรมทางโทรศัพท์มือถือผ่านหน้าเว็บไซต์ของธนาคารมากกว่าการเข้าแอปพลิเคชัน พฤติกรรมเช่นนี้สุ่มเสี่ยงต่อการถูกมิจฉาชีพหลอกลวงให้บอกเลขที่บัตรเครดิต หรือเลขที่บัญชีธนาคารผ่านเว็บไซต์ที่ทำเลียนแบบ หรือที่เรียกว่า Phishing”
ส่วนพฤติกรรมที่สุ่มเสี่ยงจากการใช้อุปกรณ์เคลื่อนที่ เช่น การละเลยไม่ติดตั้งโปรแกรม Anti-virus มีคนตอบว่า “ไม่ทำ” สูงถึง 51.1% ส่วนคนที่เลิกใช้งานอุปกรณ์เคลื่อนที่แล้วไม่ล้างข้อมูลออกจากเครื่อง มีผู้ตอบ 37.1% และละเลยไม่กำหนดรหัสผ่านเข้าใช้งานเครื่องมีเพียง 25% เท่านั้น
“ETDA มีแผนจะสำรวจในลักษณะนี้เป็นประจำทุกปีเพื่อเป็นประโยชน์ต่อผู้ที่ใช้ข้อมูลเหล่านี้อย่างต่อเนื่อง และขอขอบคุณพี่น้องประชาชนที่ได้ให้ความร่วมมือกับการสำรวจของ ETDA และหวังว่าจะได้รับความร่วมมือที่ดีเช่นนี้อีกในการสำรวจครั้งต่อๆ ไปของ ETDA ส่วนผู้ที่สนใจรายงานฉบับเต็มสามารถดาวน์โหลดได้ที่ http://www.etda.or.th/internetuserprofile2014/” นางสุรางคณากล่าวสรุป