“เถ้าแก่น้อย” ชูกลยุทธ์ร่วมทุนพันธมิตรและเทคโวอร์ แผ่อาณาจักรธุรกิจสาหร่ายทอด โฟกัสเครื่องดื่มและผลิตภัณฑ์เสริมอาหาร เล็งร่วมทุนกับเกาหลีใต้ รุกอาหารพร้อมรับประทาน
นายอิทธิพัทธ์ พีระเดชาพันธุ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท เถ้าแก่น้อย ฟู๊ดแอนด์มาร์เก็ตติ้ง จำกัด ผู้ผลิตและจำหน่ายสาหร่ายทอด “เถ้าแก่น้อย” เปิดเผยว่า นับจากนี้บริษัทฯ มีนโยบายจะขยายธุรกิจด้วยการลงทุนร่วมกับพันธมิตรและการเทคโอเวอร์กิจการที่มีอยู่แล้ว เพื่อการขยายธุรกิจที่รวดเร็วและมีศักยภาพมากกว่าการลงทุน หรือสร้างแบรนด์ตัวเองขึ้นมาซึ่งต้องใช้เวลานานและมีต้นทุนสูงกว่า
“ผมต้องใช้เวลามากในการสร้างและพัฒนาแบรนด์เถ้าแก่น้อยมาจนถึงทุกวันนี้กว่าจะเป็นที่รู้จักในท้องตลาดและได้เป็นเจ้าตลาดสาหร่ายทอดต้องผ่านเวลามานานถึง 10 ปี ในขณะที่การลงทุนแบบร่วมทุนอาจจะง่ายและเห็นผลในเร็วๆ นี้ ส่วนการเทคโอเวอร์คงยังไม่ใช่สิ่งที่เกิดขึ้นในระยะสั้นแต่อนาคตอาจจะเป็นได้”
ปัจจุบัน “เถ้าแก่น้อย” มีบริษัทในเครืออีกแห่งคือ “บริษัท ดร.โทบิ จำกัด” จัดตั้งขึ้นมาได้ประมาณ 3 ปีแล้ว โดยมีเป้าหมายที่จะขยายธุรกิจสแน็กและผลิตภัณฑ์เสริมอาหารทั้งเครื่องดื่มและไม่ใช่เครื่องดื่มเป็นหลัก โดยขณะนี้มีเพียงแบรนด์เดียวคือ “ดร.โทบิ ไวตามิก” ซึ่งเป็นเครื่องดื่มวิตามินเพื่อสุขภาพที่ไม่มีคาเฟอีน อย่างไรก็ตาม ขณะนี้กำลังอยู่ระหว่างการเจรจาร่วมลงทุนกับพันธมิตรในประเทศเกาหลีใต้ที่มีการทำธุรกิจอยู่แล้วและมีการเติบโตดีในตลาดอาหารพร้อมรับประทาน โดยคาดว่าจะมีการเซ็นสัญญาเร็วๆ นี้
ล่าสุดจากนโยบายดังกล่าวคือการเป็นพันธมิตรกับ “บริษัท พัฒน์พลัส จำกัด” เจ้าของผลิตภัณฑ์เสริมอาหารแบรนด์ “คอลลี่” ที่เป็นเจ้าตลาดเครื่องดื่มคอลลาเจนแบบผง ในขณะที่ “ดร.โทบิ” มีความเชี่ยวชาญในด้านการตลาดและช่องทางจำหน่ายและมีเครื่องดื่มวิตามินแบรนด์ “ไวตามิก” อยู่แล้ว จึงได้มาร่วมมือกันพัฒนาเครื่องดื่มแบรนด์ “คอลลี่ ดร.โทบิ” ลงสู่ตลาดซึ่งจัดอยู่ในกลุ่มฟังชันนัลดริ้งค์แบบมีคอลลาเจน โดยวางเป้าหมายยอดขายสิ้นปีนี้ไว้ที่ 100 ล้านบาทจากตลาดรวมฟังชันนัลดริงค์ที่มี 4,000 ล้านบาท แต่สัดส่วนของเครื่องดื่มที่มีคอลลาเจนมี 30% จากมูลค่า 4,000 ล้านบาท โดยวางเป้าหมายที่จะมีเครื่องดื่มใหม่ปีละ 1-2 รายการ
สำหรับเป้าหมายในอนาคตจากนี้ตั้งเป้าหมายสัดส่วนรายได้ที่จะมาจากเครื่องดื่มฟังชันนัลดริ้งค์และเสริมอาหารเท่ากันที่ 50% โดยขณะนี้ยังไม่มีสินค้าเสริมอาหารทำตลาดแต่คาดว่าปีหน้าจะเริ่มทำตลาดได้ โดย บริษัท ดร.โทบิ จำกัด จะเป็นหัวหอกในการรุกตลาดใหม่ๆ ได้ดีกว่าแบรนด์ “เถ้าแก่น้อย” ที่กลายเป็นสัญลักษณ์ของสินค้าสาหร่ายไปแล้ว
นายอิทธิพัทธ์ กล่าวต่อว่า ตลาดสาหร่ายในเมืองไทยเริ่มที่จะอิ่มตัวแล้วแต่ก็ยังมีโอกาสเติบโตอีกเช่นกันถ้ามีการพัฒนาตลอดเวลาทั้งรสชาติ รูปแบบสินค้า การทำตลาด จากปัจจุบันที่ตลาดรวมมี 3,000 ล้านบาท เติบโตแค่ 5% ต่ำสุดในรอบ 10 ปีก็ว่าได้ โดยแบรนด์ “เถ้าแก่น้อย” มีส่วนแบ่งอันดับหนึ่ง 65% ส่วนอันดับที่สองและสามใกล้ๆ กันมีแช์รวม 20% ที่เหลือเป็นรายย่อย โดยช่วงครึ่งปีแรกที่ผ่านมา “เถ้าแก่น้อย” มีรายได้ประมาณ 1,500 ล้านบาทซึ่งเติบโตน้อยมากและคาดว่าทั้งปีนี้รายได้รวมจะอยู่ที่ 2,800 ล้านบาท เติบโต 10%
“บริษัทต้องมีการออกนวัตกรรมสาหร่ายและรสชาติใหม่ๆ ตลอดเวลา นอกจากนั้นก็ต้องมีการขยายตลาดต่างประเทศมากขึ้นด้วยเพื่อขยายฐานตลาดและธุรกิจให้เติบโต โดยเฉพาะการขยายตลาดต่างประเทศให้มากขึ้น แม้ตอนนี้สาหร่ายเถ้าแก่น้อยจะมีการจำหน่ายใน 33 ประเทศแล้วก็ตาม แต่ก็ต้องขยายต่อไปทั้งตลาดประเทศเดิมและประเทศใหม่ๆ โดยยังคงเน้นตลาดเอเชียเป็นหลักก่อนในช่วงนี้ เช่นที่เรามองไว้คือ เกาหลีใต้และญี่ปุ่นซึ่งตลาดมีความแข็งแกร่งมาก แต่ก็เป็นตลาดใหญ่ที่น่าสนใจ”
“ตอนนี้เราเป็นอันดับหนึ่งในตลาดสาหร่ายทอดในอาเซียน หรือ รีจินัล แบรนด์ แล้ว เป้าหมายที่ผมวางไว้คือ ภายใน 5 ปีต้องก้าวขึ้นเป็น เอเชีย แบรนด์ ให้ได้ จากนั้นใน 10 ปีต้องมีวางขายกว่า 100 ประเทศทั่วโลกและต้องเป็น โกลบอล แบรนด์ โดยภายใน 5 ปีจากนี้ต้องมีสัดส่วนรายได้เท่ากันระหว่างไทยกับต่างประเทศ ขณะที่ปัจจุบันนี้สัดส่วนรายได้ในประเทศอยู่ที่ 40% ต่างประเทศ 60%”