xs
xsm
sm
md
lg

“คิมเบอร์ลี่-คล๊าก” เผยหมากการตลาด รักษาบัลลังก์แชมป์พร้อมเป้า 1 หมื่นล้านบาท

เผยแพร่:   โดย: MGR Online

“กรัณย์ แสงไฟ” ผู้อำนวยการและผู้จัดการทั่วไป แผนกกลุ่มสินค้าเพื่อธุรกิจ คิมเบอร์ลี่-คล๊าก โปรเฟสชันแนล ประจำประเทศไทย เมียนมาร์ และอินโดจีน
ASTVผู้จัดการรายวัน - ระบุครึ่งปีแรกได้แรงกระทบจากสถานการณ์การเมืองและเศรษฐกิจ แต่มั่นใจฟื้นตัวได้ในครึ่งปีหลัง เตรียมอัดแน่นกลยุทธ์รอบด้านทั้งเปิดตัวผลิตภัณฑ์ใหม่ ขยายตลาดเฉพาะกลุ่ม B2B เน้นโรงงานอุตสาหกรรมและโรงพยาบาล พร้อมเพิ่มตัวแทนจำหน่ายในกัมพูชา ลาว เวียดนาม และพม่า หวังเพิ่มรายได้ในกลุ่มประเทศอินโดจีน 30% ภายใน 5 ปี

นายกรัณย์ แสงไฟ ผู้อำนวยการและผู้จัดการทั่วไป แผนกกลุ่มสินค้าเพื่อธุรกิจ คิมเบอร์ลี่-คล๊าก โปรเฟสชันแนล ประจำประเทศไทย พม่า และอินโดจีน เปิดเผยว่า จากผลกระทบทางการเมืองและเศรษฐกิจในช่วงครึ่งปีแรกที่ผ่านมาทำให้ผลประกอบการของบริษัทเติบโตเพียง 10% แต่ยังมั่นใจว่าตลอดทั้งปีจะสามารถเติบโตได้ตามเป้าหมายที่วางไว้คือ 20% คิดเป็นรายได้รวมประมาณ 1 หมื่นล้านบาท แบ่งเป็นรายได้จากลูกค้าประเภท B2B และ B2C ในสัดส่วนเท่ากันคือ 50:50 โดยยังคงถือเป็นผู้นำตลาดอันดับหนึ่งอย่างต่อเนื่อง

ลูกค้าของบริษัทส่วนใหญ่เป็นในลักษณะ B2B โดยในอดีตที่ผ่านมาส่วนใหญ่เป็นลูกค้าในกรุงเทพฯ ประมาณ 60% ต่างจังหวัด 40% แต่ในช่วง 1-2 ปีที่ผ่านมาสถานการณ์กลับตรงข้ามกันกลายเป็นลูกค้าในกรุงเทพฯ ลดเหลือ 40% และต่างจังหวัดเพิ่มเป็น 60% เนื่องจากการขยายตัวของโรงงานอุตสาหกรรม ห้างสรรพสินค้า คอนโดมิเนียม และที่พักอาศัยที่เพิ่มมากขึ้น ขณะเดียวกันพฤติกรรมของคนต่างจังหวัดก็เริ่มใกล้เคียงกับคนกรุงเทพฯ และเริ่มใช้ชีวิตนอกบ้านมากขึ้น

สำหรับลูกค้าทั้งหมดสามารถจำแนกเป็นโรงแรมระดับ 4-5 ดาว ประมาณ 20% โรงงานอุตสาหกรรมทั่วไป 20% โรงพยาบาล 18% อาคารสำนักงาน 15% ร้านอาหาร 15% ส่วนที่เหลือเป็นสนามบิน สถานศึกษา ห้างสรรพสินค้าและคอมมูนิตีมอลล์ โดยที่ผ่านมาบริษัทใช้งบประมาณการตลาดในส่วนของลูกค้า B2B ประมาณ 30% ของรายได้ในการทำตลาดส่วนใหญ่ในลักษณะไดเรกต์เซลและดิจิตอลมาร์เกตติ้ง ขณะที่ใช้งบประมาณในส่วนของ B2C ประมาณ 100 ล้านบาททำการตลาดผ่านสื่อโทรทัศน์เป็นหลัก

“ในช่วงที่ผ่านมาถือได้ว่าตลาด B2B เติบโตประมาณ 15% ขณะที่ตลาด B2C เติบโต 10% โดยไตรมาสแรกของปี 2557 เราได้รับผลกระทบค่อนข้างมาก เนื่องจากลูกค้าหลักคือโรงแรมระดับ 4-5 ดาวในกรุงเทพฯ ที่เคยมีอัตราการเข้าพักของลูกค้าประมาณ 80% กลับลดลงเหลือเพียง 10% ขณะที่โรงงานผลิตรถยนต์ก็มีอัตราการผลิตลดลงถึง 40% จนกระทั่งไตรมาสที่สองแม้จะยังคงได้รับผลกระทบต่อเนื่อง แต่สถานการณ์เริ่มดีขึ้นเนื่องจากโรงแรมในต่างจังหวัด โดยเฉพาะสถานที่ต่างๆ เช่น พัทยา เกาะสมุย ภูเก็ต และเชียงใหม่เริ่มมีลูกค้าชาวต่างชาติเข้าพักมากขึ้น จึงคาดว่าในช่วงครึ่งปีหลังสถานการณ์ทุกด้านจะกลับเข้าสู่ภาวะปกติและมีผลทำให้บริษัทสามารถมีผลการดำเนินงานได้ตามเป้าหมาย”

สำหรับกลยุทธ์การตลาดในช่วงครึ่งปีหลังบริษัทจะเน้นพัฒนาสินค้าโดยใช้นวัตกรรมเพื่อลดการใช้ทรัพยากรธรรมชาติและรักษาสิ่งแวดล้อมมากขึ้น โดยเน้นใช้หลักการ Lean ในการปรับลด หรือตัดกระบวนการที่ไม่จำเป็น หรือสิ้นเปลืองออก เพื่อสร้างความสามารถทางการแข่งขันทางธุรกิจ นอกจากนี้ยังจะมีการพัฒนาสินค้าเฉพาะกลุ่มมากขึ้นแต่จะไม่กระจายไปยังทุกเซกเมนต์ โดยจะเน้นกลุ่มเป้าหมายหลักคือโรงงานอุตสาหกรรมประเภทรถยนต์ อาหาร โลหการ และโรงพยาบาล

“ล่าสุดเมื่อเดือน พ.ค.ที่ผ่านมา บริษัทได้เปิดตัวผลิตภัณฑ์ใหม่คือ Aquarius กล่องบรรจุกระดาษเพื่อสุขภาพอนามัยที่ดีที่สุด เป็นจำนวน 9 รุ่น สามารถบรรจุกระดาษได้ทุกแบรนด์ มีลักษณะเฉพาะในการป้องกันการเติมกระดาษจนแน่น ช่วยให้หยิบกระดาษได้ง่ายขึ้นไม่ทำให้กระดาษติดกันเป็นก้อน ช่วยให้ประหยัดกระดาษมากขึ้น โดยเน้นช่องทางจำหน่ายผ่านเอเยนต์ ผู้จัดจำหน่าย และลูกค้า B2B ประมาณ 95% ส่วนที่เหลือเป็นการจำหน่ายผ่านโมเดิร์นเทรดทั่วไป โดยในเบื้องต้นเรายังไม่ได้ตั้งเป้าหมายด้านการขาย เนื่องจากพร้อมให้บริการเปลี่ยนให้แก่ลูกค้ารายเก่าโดยไม่คิดค่าใช้จ่าย เพราะวัตถุประสงค์หลักคือต้องการปรับเปลี่ยนพฤติกรรมผู้บริโภคให้รู้จักวิธีประหยัดและรักษาสิ่งแวดล้อมมากขึ้น”

นอกจากนั้นบริษัทยังมีแผนขยายตลาดกระดาษสำหรับใช้เฉพาะในโรงงานอุตสาหกรรมและโรงพยาบาล หรือ Wiper ที่ใช้แทนผ้าขี้ริ้วซึ่งเป็นที่นิยมมากในต่างประเทศ โดยเฉพาะประเทศออสเตรเลียมีการใช้งานมากถึง 80% ขณะที่ประเทศไทยมีการใช้งานเพียง 10-20% เท่านั้น โดยคาดว่าภายใน 5 ปีจะสามารถทำรายได้ประมาณ 30% จากปัจจุบันที่มีรายได้เพียง 12% นอกจากนั้นยังจะเปิดตัวผลิตภัณฑ์กระดาษอนามัยที่มีคุณสมบัติซึมซับและเหนียวแน่นกว่าปกติ 1-2 เท่า โดยขณะนี้บริษัทแม่ได้ลงทุนด้านเครื่องจักรประมาณหลายพันล้านบาทเพื่อติดตั้งภายในโรงงานที่ประเทศเกาหลีใต้แล้ว โดยคาดว่าจะเริ่มจำหน่ายได้ในช่วงไตรมาสแรกของปี 2558

นายกรัณย์ยังกล่าวถึงตลาดอินโดจีนด้วยว่า ในช่วงแรกของการทำตลาดอินโดจีนบริษัทมียอดขายเพียง 2-3% แต่ปีนี้คาดว่าจะเพิ่มขึ้นเป็น 10% และขยายเป็น 30% ภายใน 5-7 ปี โดยบริษัทเริ่มทำตลาดในประเทศกัมพูชาและลาวมาเป็นเวลา 7 ปีแล้วจึงทำให้มียอดขายเป็นอันดับหนึ่ง โดยในประเทศกัมพูชามีตัวแทนจำหน่ายที่กรุงพนมเปญและกำลังมีแผนทำการขายเพิ่มที่จังหวัดเสียมราฐ ส่วนประเทศลาวมีตัวแทนจำหน่ายที่นครเวียงจันทน์และกำลังจะเพิ่มตัวแทนจำหน่ายที่สะหวันนะเขต รวมถึงจำปาสักและปากเซ

สำหรับประเทศเวียดนามแม้จะเพิ่งเริ่มทำตลาดได้เพียง 1 ปี แต่มีตัวแทนจำหน่ายแล้ว 4 แห่ง ที่โฮจิมินห์ 2 แห่ง ฮานอย 1 แห่ง และดานัง 1 แห่ง โดยคาดว่าภายในสิ้นปี 2557 จะสามารถทำยอดขายได้สูงกว่ากัมพูชาและลาว ขณะที่ประเทศพม่าทำการจำหน่ายผ่านผู้ส่งออก โดยขณะนี้กำลังอยู่ในระหว่างการเจรจากับพันธมิตรนักลงทุนท้องถิ่นเพื่อเป็นตัวแทนจำหน่ายอย่างเป็นทางการ
กำลังโหลดความคิดเห็น