“เมเจอร์ซีนีเพล็กซ์” เปิดสูตรลงทุนต่างประเทศร่วมทุนพันธมิตรท้องถิ่น เป้าหมาย 5 ปีจากนี้สัดส่วนรายได้จากต่างประเทศ 20% เน้นเออีซี เบื้องต้นโฟกัสที่ CLMV ประเดิมที่กัมพูชา ร่วมทุน 3 ฝ่าย เปิดที่ “อิออนมอลล์”
นายวิชา พูลวรลักษณ์ ประธานเครือเมเจอร์ซีเนเพล็กซ์ เปิดเผยว่า บริษัทฯ มีนโยบายในการลงทุนขยายธุรกิจโรงภาพยนตร์และโบว์ลิ่งในต่างประเทศจากนี้ไปควบคู่ไปกับการลงทุนในประเทศไทย โดยตั้งเป้าหมายไว้ว่าภายใน 5 ปีจากนี้ เมเจอร์ฯ จะต้องมีรายได้จากต่างประเทศสัดส่วนประมาณ 20% จากรายได้รวมทั้งหมด ขณะที่ปัจจุบันรายได้จากต่างประเทศยังไม่ถึง 10%
อย่างไรก็ตาม ในเบื้องต้นนี้ให้ความสำคัญต่อประเทศในกลุ่ม CLMV ก่อน (กัมพูชา, ลาว, พม่า และ เวียดนาม) ส่วนในไทยนั้นตั้งเป้าหมายภายในอีก 5 ปีจะต้องมีให้ครบ 1,000 โรง จากปัจจุบันมี 500 โรง ซึ่งปีหน้าจะเปิดเพิ่มอีก 70-80 โรง โดยใช้กลยุทธ์การร่วมทุนกับพันธมิตรท้องถิ่นเป็นหลัก ซึ่งมองว่าตลาดประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน หรือเออีซีที่จะเปิดในปี2558 นี้จะเป็นตลาดที่ใหญ่ โดยบริษัทฯ จะมุ่งเน้นที่เพื่อนบ้าน 4 ประเทศนี้ก่อน อย่างไรก็ตาม ก่อนหน้านี้บริษัทได้เข้าไปลงทุนถือหุ้นในบริษัท พีวีอาร์ ในประเทศอินเดีย ปัจจุบันมีโรงหนังกว่า 436 จอแล้ว มากที่สุดในอินเดีย โดยเมเจอร์ฯ ถือหุ้น 7% ถือเป็นการลงทุนแต่ไม่ได้บริหาร
สำหรับโครงการใน CLMV กัมพูชาคือประทศแรกทีเมเจอร์ฯ ลงทุนตามนโยบายดังกล่าว โดยร่วมทุนระหว่างเมเจอร์ ถือหุ้น 70% และพันธมิตรอีก 2 รายถือหุ้นรวมกัน 30% คือ กลุ่มบริษัท Sabay Digital Corporation ของกัมพูชา ซึ่งมีธุรกิจโรงภาพยนตร์อยู่แล้ว กับอีกรายคือ PT Tripar Multivision Plus ของอินโดนีเซีย ลงทุนประมาณ 150 ล้านบาท เปิดโรงหนังเมเจอร์ซีนีเพล็กซ์ 7 โรงและโบว์ลิ่ง 1 เลน ที่ศูนย์การค้าอิออนในพนมเปญ คาดว่าจะคืนทุนใน 3 ปี ตั้งเป้าเติบโต 10% ต่อปี ปีแรกคาดรายได้ 150 ล้านบาท แบ่งเป็น โรงหนัง 75% และโบว์ลิ่ง 25%
ในกัมพูชา เมเจอร์ฯ ตั้งไว้ว่าภายใน 5 ปีจะลงทุนรวม 500 ล้านบาท ขยายสาขาต่อเนื่อง และจะต้องเป็นผู้นำตลาดให้ได้ โดยมีส่วนแบ่งเกิน 50% ซึ่งในพนมเปญนี้มีโรงหนังขนาดใหญ่รวม 18 โรง เป็นมาตรฐานแค่ 10 โรง อีก 8 โรงเป็นแบบเล็กๆ ธรรมดา ขณะที่มีประชากรที่ลงทะเบียนในพนมเปญประมาณ 2 ล้านคน และที่ไม่ได้ลงทะเบียนอีก 2 ล้านคน รวมไม่เกิน 4 ล้านคน ถ้าจะมีอีก 100 โรงเพิ่มขึ้นมาก็ไม่น่าจะเป็นเรื่องยากเกินไป หรือที่เสียมเรียบก็ยังไม่มีโรงหนังเลย แต่มีนักท่องเที่ยวถึง 4 ล้านคน
ส่วนที่ประเทศเวียดนามนั้น มีบริษัทหลายแห่งมาเจรจาติดต่อให้เราไปลงทุนสร้างเมเจอร์ซีนีเพล็กซ์ แต่บริษัทพิจารณาแล้วทำเลของโครงการนั้นๆ ยังไมเหมาะสมที่จะลงทุนจึงยังไม่สรุปลงทุนด้วย แต่ก็ยังสนใจประเทศเวียดนามเช่นกัน ส่วนที่ลาว และพม่า เมเจอร์ฯ สนใจแน่นอน แต่คงต้องรอจังหวะซึ่งสองตลาดนี้ดูหนังไทยด้วย น่าจะเป็นการดีที่ส่งเสริมหนังไทยออกต่างประเทศได้
สำหรับรายได้ของบริษัทฯเมื่อปีที่แล้วมีประมาณ 7,711 ล้านบาท เติบโตประมาณ 23% โดยเป็นการเติบโตในตลาดต่างจังหวัดมากกว่า 30% ส่วนปีนี้ตั้งเป้าเติบโต 10%
นายวิชา พูลวรลักษณ์ ประธานเครือเมเจอร์ซีเนเพล็กซ์ เปิดเผยว่า บริษัทฯ มีนโยบายในการลงทุนขยายธุรกิจโรงภาพยนตร์และโบว์ลิ่งในต่างประเทศจากนี้ไปควบคู่ไปกับการลงทุนในประเทศไทย โดยตั้งเป้าหมายไว้ว่าภายใน 5 ปีจากนี้ เมเจอร์ฯ จะต้องมีรายได้จากต่างประเทศสัดส่วนประมาณ 20% จากรายได้รวมทั้งหมด ขณะที่ปัจจุบันรายได้จากต่างประเทศยังไม่ถึง 10%
อย่างไรก็ตาม ในเบื้องต้นนี้ให้ความสำคัญต่อประเทศในกลุ่ม CLMV ก่อน (กัมพูชา, ลาว, พม่า และ เวียดนาม) ส่วนในไทยนั้นตั้งเป้าหมายภายในอีก 5 ปีจะต้องมีให้ครบ 1,000 โรง จากปัจจุบันมี 500 โรง ซึ่งปีหน้าจะเปิดเพิ่มอีก 70-80 โรง โดยใช้กลยุทธ์การร่วมทุนกับพันธมิตรท้องถิ่นเป็นหลัก ซึ่งมองว่าตลาดประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน หรือเออีซีที่จะเปิดในปี2558 นี้จะเป็นตลาดที่ใหญ่ โดยบริษัทฯ จะมุ่งเน้นที่เพื่อนบ้าน 4 ประเทศนี้ก่อน อย่างไรก็ตาม ก่อนหน้านี้บริษัทได้เข้าไปลงทุนถือหุ้นในบริษัท พีวีอาร์ ในประเทศอินเดีย ปัจจุบันมีโรงหนังกว่า 436 จอแล้ว มากที่สุดในอินเดีย โดยเมเจอร์ฯ ถือหุ้น 7% ถือเป็นการลงทุนแต่ไม่ได้บริหาร
สำหรับโครงการใน CLMV กัมพูชาคือประทศแรกทีเมเจอร์ฯ ลงทุนตามนโยบายดังกล่าว โดยร่วมทุนระหว่างเมเจอร์ ถือหุ้น 70% และพันธมิตรอีก 2 รายถือหุ้นรวมกัน 30% คือ กลุ่มบริษัท Sabay Digital Corporation ของกัมพูชา ซึ่งมีธุรกิจโรงภาพยนตร์อยู่แล้ว กับอีกรายคือ PT Tripar Multivision Plus ของอินโดนีเซีย ลงทุนประมาณ 150 ล้านบาท เปิดโรงหนังเมเจอร์ซีนีเพล็กซ์ 7 โรงและโบว์ลิ่ง 1 เลน ที่ศูนย์การค้าอิออนในพนมเปญ คาดว่าจะคืนทุนใน 3 ปี ตั้งเป้าเติบโต 10% ต่อปี ปีแรกคาดรายได้ 150 ล้านบาท แบ่งเป็น โรงหนัง 75% และโบว์ลิ่ง 25%
ในกัมพูชา เมเจอร์ฯ ตั้งไว้ว่าภายใน 5 ปีจะลงทุนรวม 500 ล้านบาท ขยายสาขาต่อเนื่อง และจะต้องเป็นผู้นำตลาดให้ได้ โดยมีส่วนแบ่งเกิน 50% ซึ่งในพนมเปญนี้มีโรงหนังขนาดใหญ่รวม 18 โรง เป็นมาตรฐานแค่ 10 โรง อีก 8 โรงเป็นแบบเล็กๆ ธรรมดา ขณะที่มีประชากรที่ลงทะเบียนในพนมเปญประมาณ 2 ล้านคน และที่ไม่ได้ลงทะเบียนอีก 2 ล้านคน รวมไม่เกิน 4 ล้านคน ถ้าจะมีอีก 100 โรงเพิ่มขึ้นมาก็ไม่น่าจะเป็นเรื่องยากเกินไป หรือที่เสียมเรียบก็ยังไม่มีโรงหนังเลย แต่มีนักท่องเที่ยวถึง 4 ล้านคน
ส่วนที่ประเทศเวียดนามนั้น มีบริษัทหลายแห่งมาเจรจาติดต่อให้เราไปลงทุนสร้างเมเจอร์ซีนีเพล็กซ์ แต่บริษัทพิจารณาแล้วทำเลของโครงการนั้นๆ ยังไมเหมาะสมที่จะลงทุนจึงยังไม่สรุปลงทุนด้วย แต่ก็ยังสนใจประเทศเวียดนามเช่นกัน ส่วนที่ลาว และพม่า เมเจอร์ฯ สนใจแน่นอน แต่คงต้องรอจังหวะซึ่งสองตลาดนี้ดูหนังไทยด้วย น่าจะเป็นการดีที่ส่งเสริมหนังไทยออกต่างประเทศได้
สำหรับรายได้ของบริษัทฯเมื่อปีที่แล้วมีประมาณ 7,711 ล้านบาท เติบโตประมาณ 23% โดยเป็นการเติบโตในตลาดต่างจังหวัดมากกว่า 30% ส่วนปีนี้ตั้งเป้าเติบโต 10%
