“เบเนฟิต วัน (ประเทศไทย)” สวนกระแสการเมือง บุกตลาดไทยส่งโปรแกรมพัฒนา Incentive Point ระบบคะแนนจากญี่ปุ่น หวังสร้างศักยภาพให้องค์กร ด้วยการให้รางวัลพนักงานเพื่อพัฒนาคุณภาพและสร้างแรงจูงใจให้กับพนักงานในองค์กร เผยประเทศไทยมีตลาดแรงงานที่มีการเคลื่อนไหวตามกระแสการเติบโตด้วยเงินลงทุนจากนานาประเทศ ทั้งยังมีอัตราการว่างงานลดลงน้อยกว่า 1%
นายชินยะ ทาคาอิ รองกรรมการผู้จัดการ บริษัท เบเนฟิต วัน (ประเทศไทย) จำกัด เปิดเผย ว่าบริษัทมีบริษัทแม่ในประเทศญี่ปุ่นเปิดดำเนินกิจการตั้งแต่ปี คศ.1996 ปัจจุบันได้ทำการจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์โตเกียว ประเทศญี่ปุ่น ด้วยมูลค่า 1,522 ล้านเยน ทั้งยังได้ลงทุนกว่า 2 พันล้านบาทใน “โปรแกรมอินเซนทีฟ พ้อยท์” (Incentive Point) จนทำให้ปัจจุบันมีบริษัทในญี่ปุ่นมากกว่า 5,000 แห่งใช้บริการจากเรา เช่น NTT Docomo, KDDI, P&G, McDonald’s, VOLVO, Lawson, Haagen Dazs และ KAO เป็นต้น
ความสำเร็จดังกล่าวช่วยผลักดันให้ บริษัท เบเนฟิต วัน อิงค์ (ประเทศญี่ปุ่น) ขยายบริษัทในเครือเพิ่มขึ้น อาทิ Benefit One Shanghai Inc., Benefit One USA Inc. ตามลำดับ เนื่องด้วยการเติบโตทางเศรษฐกิจโลกที่มีแนวโน้มไปในทิศทางบวกในปีที่ผ่านมา โดยเฉพาะอย่างยิ่งประเทศในกลุ่มเสรีการค้าเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ส่งผลให้อัตราการจ้างงานขยายตัวอย่างเห็นได้ชัด โดยเฉพาะในประเทศไทยที่ตลาดแรงงานมีการเคลื่อนไหวตามกระแสการเติบโตด้วยเงินลงทุนจากนานาประเทศ เป็นที่สังเกตได้ว่าอัตราการว่างงานลดลงน้อยกว่า 1 เปอร์เซ็นต์ อย่างไรก็ตามผู้ประกอบการยังคงต้องเผชิญความท้าทายในเรื่องของค่าใช้จ่ายและปัญหาการโยกย้ายงานที่สูงขึ้น เนื่องจากบุคลากรคำนึงถึงการเพิ่มของผลตอบแทนเป็นหลัก
บริษัท เบเนฟิต วัน อิงค์ (ประเทศญี่ปุ่น) และ บริษัท อิโตชู คอร์ปอเรชั่น จำกัด จึงตัดสินใจร่วมลงทุนจัดตั้งบริษัทที่สิงคโปร์ภายใต้ชื่อ บริษัท เบเนฟิต วัน เอเชีย จำกัด (Benefit One Asia Pte. Ltd.) เพื่อเป็นศูนย์กลางในการขยายธุรกิจ Outsourcing Welfare Services Business รูปแบบใหม่สู่ตลาดเอเชีย โดยเริ่มจากประเทศไทย ไต้หวัน และอินโดนีเซีย เพื่อให้บริการด้วยโปรแกรม “Incentive Point” ให้สอดคล้องกับการเปิดเสรีการค้าเอเซียนตะวันออกเฉียงใต้
ด้วยแรงจูงใจในการลงทุนในไทย ไม่ว่าจะเป็นสภาพแวดล้อม ความสัมพันธ์ทางการทูต หรือระบบสาธารณูปโภคที่ทันสมัย ล้วนเป็นปัจจัยในการหว่านเม็ดเงินลงทุนจากประเทศญี่ปุ่นในประเทศไทย วัดได้จากจำนวนโรงงานอุตสาหกรรม สถาบันทางการเงิน และบริษัทเอกชนจากญี่ปุ่นที่เปิดสาขาในประเทศไทยเป็นจำนวนมาก
สำหรับบริษัท เบเนฟิต วัน (ประเทศไทย) จำกัด มีนโยบายสร้างสัมพันธ์ในฐานะคู่ค้า เพื่อช่วยเหลือในเรื่องการสร้างเสถียรภาพ และความภักดีของบุคลากรต่อบริษัทกับองค์กรที่มีรากฐานจากประเทศญี่ปุ่นเป็นอันดับต้นๆ
โปรแกรม “Incentive Point” คือ โปรแกรมพัฒนาคุณภาพและสร้างแรงจูงใจให้กับพนักงานในองค์กร เพื่อสร้างประสิทธิภาพการทำงานและแรงจูงใจต่อบุคลากรในองค์กรโดยให้คะแนนเป็นรางวัล เพื่อสะสมและนำไปใช้แลกสินค้าต่างๆ ที่มีหลากหลายมากกว่า 1,000 รายการในราคาพิเศษ อาทิ แพคเกจท่องเที่ยว ที่พักโรงแรม ร้านอาหาร แบรนด์เนม สุขภาพ บันเทิง การศึกษา เครื่องใช้ไฟฟ้า โทรศัพท์มือถือ เป็นต้น ด้วยความสร้างสรรค์ที่ตอบโจทย์พฤติกรรมบริโภคนิยมของบุคลากรยุคใหม่
ในส่วนของผลตอบแทนจากโปรแกรม “Incentive Point” เห็นได้จากการสร้างแรงจูงใจให้พนักงานทำงานจนทำให้อายุงานมีระยะเวลาที่เพิ่มขึ้น ซึ่งเป็นที่น่าแปลกใจเพราะศักยภาพของบุคลากรยังเพิ่มขึ้นในระดับที่ดีเยี่ยมโดยที่องค์กรไม่เสียต้นทุนในเรื่องของเวลาและทรัพยากรในการหาวิธีสร้างแรงจูงใจอื่นๆ แต่อาศัยระเบียบวินัยและการดึงศักยภาพของบุคลากรอย่างมีประสิทธิภาพด้วยการกำหนดเกณฑ์การให้คะแนนที่เหมาะสมของแต่ละองค์กร เช่น พนักงานจะได้รับ 1,000 คะแนน ต่อการทำสัญญากับลูกค้าใหม่ 1 รายเป็นต้น
ขณะเดียวกัน โปรแกรม “Incentive Point” ยังเป็นเครื่องมือในการช่วยลดค่าใช้จ่ายในการรับสมัครงาน และฝึกสอนพนักงานใหม่ อีกทั้งยังเป็นการประชาสัมพันธ์ถึงภาพลักษณ์ขององค์กรในเรื่องของการให้ความสำคัญกับบุคลากรมากกว่าผลกำไรเพียงอย่างเดียว เห็นได้จากในกรณีศึกษาของบริษัทที่ใช้โปรแกรม “Incentive Point” แห่งหนึ่งในประเทศญี่ปุ่น พบว่าอัตราการลาออกลดลงถึง 3.9 เปอร์เซ็นต์ และเกิดผลลัพธ์ในเชิงบวกอย่างอัตราความสนใจในการสมัครเข้าร่วมทำงานที่เพิ่มขึ้นถึง 50 เปอร์เซ็นต์ รวมไปถึงอัตราการแนะนำผู้มาสมัครงาน จากบุคลากรในบริษัทที่สูงขึ้นถึง 80 เปอร์เซ็นต์ หลังจากเริ่มใช้โปรแกรมดังกล่าวเป็นเวลา 2 ปี
การทำงานของโปรแกรม “Incentive Point” จะเริ่มต้นขึ้นด้วยการนำเว็บไซต์บริหารจัดการคะแนนและแลกของรางวัลที่ บริษัท เบเนฟิต วัน ได้สร้างขึ้นเพื่อเป็นเว็บไซต์กลางในการเชื่อมต่อระหว่างองค์กรและบุคลากร ซึ่งสามารถใช้งานได้จากทั้ง PC และสมาร์ทโฟนทุกระบบ ทั้งนี้ บริษัทสามารถตั้งเกณฑ์การให้คะแนนและมอบคะแนนผ่านระบบได้ทันที โดยคะแนนที่ได้รับ 1 คะแนนจะมีมูลค่าเท่ากับ 1 บาท (หรือปรับตามความต้องการของแต่ละองค์กรได้)
จากโปรแกรมดังกล่าวพนักงานยังสามารถตรวจเช็คคะแนนในระบบได้ด้วยตัวเองและเลือกสะสมคะแนนเพื่อแลกสินค้าและบริการหรือบัตรส่วนลดที่ต้องการได้ ซึ่งการส่งมอบของรางวัลจะใช้เวลาประมาณ 2 สัปดาห์หลังจากการแลกของรางวัลในระบบซึ่งนอกจากจะช่วยลดค่าใช้จ่ายและความยุ่งยากในการบริหารระบบของรางวัลให้แก่องค์กรแล้ว โปรแกรม “Incentive Point” ยังสามารถนำไปปรับใช้กับกลุ่มบริษัทตัวแทนจำหน่าย หรือลูกค้าขององค์กรเพื่อช่วยในการจัดทำกลยุทธ์ต่างๆ ได้อย่างมีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น เช่น การจัดทำแคมเปญกับตัวแทนจำหน่ายเพื่อเพิ่มยอดขาย หรือพัฒนาโปรแกรม CRM ขององค์กรได้อีกด้วย
“บริษัท เบเนฟิต วัน (ประเทศไทย) จำกัด ไม่ต้องการหยุดที่เพียงโปรแกรม “Incentive Point” เพื่อการพัฒนาศักยภาพองค์กรเท่านั้น แต่ยังมีแผนพัฒนาธุรกิจในอนาคตด้วยการนำบริการด้านอื่นๆ ที่ครอบคลุมสวัสดิการและสิทธิประโยชน์ของบุคลากรที่ได้รับความนิยมและประสบความสำเร็จในประเทศญี่ปุ่นเข้ามาให้บริการเพิ่มเติมกับลูกค้าในประเทศไทย โดยใช้ความเชี่ยวชาญของการเป็นผู้นำในธุรกิจด้าน Employee Benefit และ Rewarding Outsourcing Provider จากประเทศญี่ปุ่น ในการวางกลยุทธ์เพื่อขยายความต้องการและการตระหนักรู้ในแบรนด์สินค้าสู่กลุ่มลูกค้าใหม่ๆ อีกด้วย มร.ชินยะ ทาคาอิ กล่าวทิ้งท้าย
นายชินยะ ทาคาอิ รองกรรมการผู้จัดการ บริษัท เบเนฟิต วัน (ประเทศไทย) จำกัด เปิดเผย ว่าบริษัทมีบริษัทแม่ในประเทศญี่ปุ่นเปิดดำเนินกิจการตั้งแต่ปี คศ.1996 ปัจจุบันได้ทำการจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์โตเกียว ประเทศญี่ปุ่น ด้วยมูลค่า 1,522 ล้านเยน ทั้งยังได้ลงทุนกว่า 2 พันล้านบาทใน “โปรแกรมอินเซนทีฟ พ้อยท์” (Incentive Point) จนทำให้ปัจจุบันมีบริษัทในญี่ปุ่นมากกว่า 5,000 แห่งใช้บริการจากเรา เช่น NTT Docomo, KDDI, P&G, McDonald’s, VOLVO, Lawson, Haagen Dazs และ KAO เป็นต้น
ความสำเร็จดังกล่าวช่วยผลักดันให้ บริษัท เบเนฟิต วัน อิงค์ (ประเทศญี่ปุ่น) ขยายบริษัทในเครือเพิ่มขึ้น อาทิ Benefit One Shanghai Inc., Benefit One USA Inc. ตามลำดับ เนื่องด้วยการเติบโตทางเศรษฐกิจโลกที่มีแนวโน้มไปในทิศทางบวกในปีที่ผ่านมา โดยเฉพาะอย่างยิ่งประเทศในกลุ่มเสรีการค้าเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ส่งผลให้อัตราการจ้างงานขยายตัวอย่างเห็นได้ชัด โดยเฉพาะในประเทศไทยที่ตลาดแรงงานมีการเคลื่อนไหวตามกระแสการเติบโตด้วยเงินลงทุนจากนานาประเทศ เป็นที่สังเกตได้ว่าอัตราการว่างงานลดลงน้อยกว่า 1 เปอร์เซ็นต์ อย่างไรก็ตามผู้ประกอบการยังคงต้องเผชิญความท้าทายในเรื่องของค่าใช้จ่ายและปัญหาการโยกย้ายงานที่สูงขึ้น เนื่องจากบุคลากรคำนึงถึงการเพิ่มของผลตอบแทนเป็นหลัก
บริษัท เบเนฟิต วัน อิงค์ (ประเทศญี่ปุ่น) และ บริษัท อิโตชู คอร์ปอเรชั่น จำกัด จึงตัดสินใจร่วมลงทุนจัดตั้งบริษัทที่สิงคโปร์ภายใต้ชื่อ บริษัท เบเนฟิต วัน เอเชีย จำกัด (Benefit One Asia Pte. Ltd.) เพื่อเป็นศูนย์กลางในการขยายธุรกิจ Outsourcing Welfare Services Business รูปแบบใหม่สู่ตลาดเอเชีย โดยเริ่มจากประเทศไทย ไต้หวัน และอินโดนีเซีย เพื่อให้บริการด้วยโปรแกรม “Incentive Point” ให้สอดคล้องกับการเปิดเสรีการค้าเอเซียนตะวันออกเฉียงใต้
ด้วยแรงจูงใจในการลงทุนในไทย ไม่ว่าจะเป็นสภาพแวดล้อม ความสัมพันธ์ทางการทูต หรือระบบสาธารณูปโภคที่ทันสมัย ล้วนเป็นปัจจัยในการหว่านเม็ดเงินลงทุนจากประเทศญี่ปุ่นในประเทศไทย วัดได้จากจำนวนโรงงานอุตสาหกรรม สถาบันทางการเงิน และบริษัทเอกชนจากญี่ปุ่นที่เปิดสาขาในประเทศไทยเป็นจำนวนมาก
สำหรับบริษัท เบเนฟิต วัน (ประเทศไทย) จำกัด มีนโยบายสร้างสัมพันธ์ในฐานะคู่ค้า เพื่อช่วยเหลือในเรื่องการสร้างเสถียรภาพ และความภักดีของบุคลากรต่อบริษัทกับองค์กรที่มีรากฐานจากประเทศญี่ปุ่นเป็นอันดับต้นๆ
โปรแกรม “Incentive Point” คือ โปรแกรมพัฒนาคุณภาพและสร้างแรงจูงใจให้กับพนักงานในองค์กร เพื่อสร้างประสิทธิภาพการทำงานและแรงจูงใจต่อบุคลากรในองค์กรโดยให้คะแนนเป็นรางวัล เพื่อสะสมและนำไปใช้แลกสินค้าต่างๆ ที่มีหลากหลายมากกว่า 1,000 รายการในราคาพิเศษ อาทิ แพคเกจท่องเที่ยว ที่พักโรงแรม ร้านอาหาร แบรนด์เนม สุขภาพ บันเทิง การศึกษา เครื่องใช้ไฟฟ้า โทรศัพท์มือถือ เป็นต้น ด้วยความสร้างสรรค์ที่ตอบโจทย์พฤติกรรมบริโภคนิยมของบุคลากรยุคใหม่
ในส่วนของผลตอบแทนจากโปรแกรม “Incentive Point” เห็นได้จากการสร้างแรงจูงใจให้พนักงานทำงานจนทำให้อายุงานมีระยะเวลาที่เพิ่มขึ้น ซึ่งเป็นที่น่าแปลกใจเพราะศักยภาพของบุคลากรยังเพิ่มขึ้นในระดับที่ดีเยี่ยมโดยที่องค์กรไม่เสียต้นทุนในเรื่องของเวลาและทรัพยากรในการหาวิธีสร้างแรงจูงใจอื่นๆ แต่อาศัยระเบียบวินัยและการดึงศักยภาพของบุคลากรอย่างมีประสิทธิภาพด้วยการกำหนดเกณฑ์การให้คะแนนที่เหมาะสมของแต่ละองค์กร เช่น พนักงานจะได้รับ 1,000 คะแนน ต่อการทำสัญญากับลูกค้าใหม่ 1 รายเป็นต้น
ขณะเดียวกัน โปรแกรม “Incentive Point” ยังเป็นเครื่องมือในการช่วยลดค่าใช้จ่ายในการรับสมัครงาน และฝึกสอนพนักงานใหม่ อีกทั้งยังเป็นการประชาสัมพันธ์ถึงภาพลักษณ์ขององค์กรในเรื่องของการให้ความสำคัญกับบุคลากรมากกว่าผลกำไรเพียงอย่างเดียว เห็นได้จากในกรณีศึกษาของบริษัทที่ใช้โปรแกรม “Incentive Point” แห่งหนึ่งในประเทศญี่ปุ่น พบว่าอัตราการลาออกลดลงถึง 3.9 เปอร์เซ็นต์ และเกิดผลลัพธ์ในเชิงบวกอย่างอัตราความสนใจในการสมัครเข้าร่วมทำงานที่เพิ่มขึ้นถึง 50 เปอร์เซ็นต์ รวมไปถึงอัตราการแนะนำผู้มาสมัครงาน จากบุคลากรในบริษัทที่สูงขึ้นถึง 80 เปอร์เซ็นต์ หลังจากเริ่มใช้โปรแกรมดังกล่าวเป็นเวลา 2 ปี
การทำงานของโปรแกรม “Incentive Point” จะเริ่มต้นขึ้นด้วยการนำเว็บไซต์บริหารจัดการคะแนนและแลกของรางวัลที่ บริษัท เบเนฟิต วัน ได้สร้างขึ้นเพื่อเป็นเว็บไซต์กลางในการเชื่อมต่อระหว่างองค์กรและบุคลากร ซึ่งสามารถใช้งานได้จากทั้ง PC และสมาร์ทโฟนทุกระบบ ทั้งนี้ บริษัทสามารถตั้งเกณฑ์การให้คะแนนและมอบคะแนนผ่านระบบได้ทันที โดยคะแนนที่ได้รับ 1 คะแนนจะมีมูลค่าเท่ากับ 1 บาท (หรือปรับตามความต้องการของแต่ละองค์กรได้)
จากโปรแกรมดังกล่าวพนักงานยังสามารถตรวจเช็คคะแนนในระบบได้ด้วยตัวเองและเลือกสะสมคะแนนเพื่อแลกสินค้าและบริการหรือบัตรส่วนลดที่ต้องการได้ ซึ่งการส่งมอบของรางวัลจะใช้เวลาประมาณ 2 สัปดาห์หลังจากการแลกของรางวัลในระบบซึ่งนอกจากจะช่วยลดค่าใช้จ่ายและความยุ่งยากในการบริหารระบบของรางวัลให้แก่องค์กรแล้ว โปรแกรม “Incentive Point” ยังสามารถนำไปปรับใช้กับกลุ่มบริษัทตัวแทนจำหน่าย หรือลูกค้าขององค์กรเพื่อช่วยในการจัดทำกลยุทธ์ต่างๆ ได้อย่างมีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น เช่น การจัดทำแคมเปญกับตัวแทนจำหน่ายเพื่อเพิ่มยอดขาย หรือพัฒนาโปรแกรม CRM ขององค์กรได้อีกด้วย
“บริษัท เบเนฟิต วัน (ประเทศไทย) จำกัด ไม่ต้องการหยุดที่เพียงโปรแกรม “Incentive Point” เพื่อการพัฒนาศักยภาพองค์กรเท่านั้น แต่ยังมีแผนพัฒนาธุรกิจในอนาคตด้วยการนำบริการด้านอื่นๆ ที่ครอบคลุมสวัสดิการและสิทธิประโยชน์ของบุคลากรที่ได้รับความนิยมและประสบความสำเร็จในประเทศญี่ปุ่นเข้ามาให้บริการเพิ่มเติมกับลูกค้าในประเทศไทย โดยใช้ความเชี่ยวชาญของการเป็นผู้นำในธุรกิจด้าน Employee Benefit และ Rewarding Outsourcing Provider จากประเทศญี่ปุ่น ในการวางกลยุทธ์เพื่อขยายความต้องการและการตระหนักรู้ในแบรนด์สินค้าสู่กลุ่มลูกค้าใหม่ๆ อีกด้วย มร.ชินยะ ทาคาอิ กล่าวทิ้งท้าย