“กกร.” เตรียมทำหนังสือถึงรัฐบาลให้คง VAT 7% อีก 2 ปี รวมถึงภาษีเงินได้นิติบุคคลและบุคคธรรมดาเพื่อดูแลเศรษฐกิจไม่ให้ชะงักงัน หลังตัวเลขเศรษฐกิจไตรมาสแรกติดลบทุกตัว ประเมินหากการเมืองจบภายใน มิ.ย.จีดีพีมีโอกาสโต 2.5-3% หากยืดเยื้อถึงสิ้นปีแต่ไม่รุนแรงโต 1-2% แต่หากรุนแรงจะติดลบทันที
นายสุพันธุ์ มงคลสุธี ประธานสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ส.อ.ท.) เปิดเผยภายหลังการประชุมคณะกรรมการร่วมภาคเอกชน 3 สถาบัน (กกร.) ว่า ที่ประชุมได้เห็นชอบให้ กกร.ทำหนังสือถึงกระทรวงการคลังด่วนที่สุดเพื่อเสนอต่อรัฐบาลในการพิจารณาคงมาตรการเก็บภาษีมูลค่าเพิ่ม (VAT) 7% ออกไปอีก 2 ปี จากที่จะครบกำหนดสิ้นเดือน ก.ย.นี้ และจะต้องปรับขึ้นไปเป็น 10% รวมถึงคงภาษีเงินได้นิติบุคคล และเงินได้บุคคลธรรมดาเพื่อดูแลเศรษฐกิจภาพรวมหลังจากไตรมาสแรกเศรษฐกิจได้รับผลกระทบจากการเมืองค่อนข้างชัดเจน
“คงจะต้องเสนอให้ร่างพระราชกฤษฎีกาเพื่อให้คงภาษี VAT ภาษีนิติบุคคลที่ขณะนี้อยู่ที่ 20% และภาษีเงินได้ในอัตราปัจจุบันไปก่อนจากที่จะสิ้นสุด ธ.ค.นี้ ซึ่งก็สุดที่คลังจะเห็นว่าว่าจะให้กี่ปี แต่กรณี VAT เองเราอยากได้ 2 ปีเพราะจะช่วยทำให้เศรษฐกิจไม่แย่ไปกว่านี้ ซึ่งเข้าใจว่ารัฐบาลอาจจะต้องเสนอคณะกรรมการการเลือกตั้ง หรือ กกต.เห็นชอบ” นายสุพันธุ์กล่าว
นอกจากนี้ ที่ประชุมยังได้หารือถึงเศรษฐกิจภาพรวมโดยประเมินจากตัวเลขเศรษฐกิจจากไตรมาสแรกที่ติดลบเกือบทุกตัว ทั้งภาคการท่องเที่ยวปรับตัวลดลง 5.8% การบริโภคลดลง 1.8% และการลงทุนภาคเอกชนยังอ่อนตัว อัตราขยายตัวติดลบ 6.4% ประกอบกับการส่งออกติดลบ 0.8% เมื่อประกอบกับการเมือง คาดว่าหากการเมืองจบเร็วและอยู่ในโหมดปกติภายใน มิ.ย.นี้อัตราการเติบโตของผลิตภัณฑ์มวลรวมในประเทศ (จีดีพี) ก็จะเติบโตได้ระดับ 2.5-3% แต่หากการเมืองยังไม่คลี่คลายและยังยืดเยื้อถึงสิ้นปีนี้แต่ไม่มีความรุนแรงจีดีพีมีโอกาสลดเหลือโตเพียง 1-2% แต่หากเกิดเหตุการณ์รุนแรงขึ้นมีโอกาสเห็นจีดีพีติดลบ
อย่างไรก็ตาม ยอมรับว่ามีความเป็นห่วงผู้ประกอบการขนาดกลางและย่อม (เอสเอ็มอี) มากสุดที่ขณะนี้มีปัญหาขาดสภาพคล่อง เชื่อว่าอีก 6 เดือนการเมืองไม่จบและเอสเอ็มอีไม่ได้รับการช่วยเหลืออาจเห็นการปิดกิจการได้ ซึ่งจะได้หารือรายละเอียดในการช่วยเหลือต่อไป
นายอิสระ ว่องกุศลกิจ ประธานสภาหอการค้าแห่งประเทศไทย กล่าวว่า ภาพรวมขณะนี้แรงซื้อของคนไทยชะลอตัวลงอย่างมาก หากไม่คงมาตรการ VAT และภาษีเงินได้เชื่อว่าจะฉุดเศรษฐกิจภาพรวมชะงักงันได้ ซึ่งทางหอการค้าเองก็ได้ประเมินไว้ก่อนหน้าแล้วว่ากรณีถ้าการเมืองยืดเยื้อถึงสิ้นปีจีดีพีปีนี้จะติดลบ 2% ซึ่งเป็นกรณีเลวร้ายสุดซึ่งเอกชนไม่ต้องการให้เกิดและหวังว่าการเมืองจะยุติอย่างสงบโดยเร็ว
นายบุญทักษ์ หวังเจริญ นายกสมาคมธนาคารไทย กล่าวว่า ภาวะเศรษฐกิจขณะนี้ ทางสถาบันการเงินต้องดำเนินการยืดเวลาชำระหนี้ให้ลูกค้าออกไปอีก และกระทรวงการคลังจะเร่งหาเงินเพื่อเสริมสภาพคล่องให้กลุ่มธุรกิจเอสเอ็มอี ในส่วนของ กกร.มีความเป็นห่วง อยากให้ทางบรรษัทประกันสินเชื่ออุตสาหกรรมขนาดย่อม หรือ บสย.เข้ามาค้ำประกันเงินกู้ให้ภาคธุรกิจเอสเอ็มอี เพราะ บสย.มีเม็ดเงินกว่า 1 แสนล้านบาทที่จะเข้ามาค้ำประกันได้ และเชื่อว่าภายใน 1-2 เดือนนี้จะรวบรวมข้อมูลสมาชิกภาคธุรกิจที่ได้รับผลกระทบมีกี่ราย และกลุ่มธุรกิจอะไรบ้าง โดยปัญหาไม่ใช่เรื่องของดอกเบี้ย แต่เป็นเรื่องการขาดสภาพคล่องทางการเงิน
“ยอมรับว่าตั้งแต่ปลายปีที่แล้วหนี้ที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้ หรือ NPL มีสูงขึ้น แต่ก็เริ่มมีอัตราการเพิ่มลดต่ำลง แต่ภาพรวมขณะนี้ยอมรับว่าก็ยังอยู่ในอัตราที่สูง” นายบุญทักษ์กล่าว