“โซว” เดินเกมสร้างฐานธุรกิจรองเท้า เบนเข็มเพิ่มนำเข้าอินเตอร์แบรนด์ประเดิม “บีบี้” จากบราซิล หลังปูพรมไลเซนส์คาแรกเตอร์แบรนด์มาแล้ว 10 ปี พร้อมปัดฝุ่นแบรนด์ตัวเอง “เคนต้า” รุกตลาดอีกรอบ
นายอรรถวุฒ สิริมนตาภรณ์ กรรมการผู้จัดการ บริษัท โซว กรุ๊ป อินเตอร์เนชั่นแนล จำกัด ผู้ผลิตและนำเข้ารองเท้าจากต่างประเทศ เปิดเผยว่า บริษัทฯ วางนโยบายการรุกธุรกิจจากนี้ไปจะเน้นการทำตลาดนำเข้ารองเท้าที่เป็นอินเตอร์แบรนด์จากต่างประเทศมากขึ้น จากเดิมที่เน้นไปที่การซื้อไลเซนส์แบรนด์คาแรกเตอร์มาทำตลาดประมาณ 10 กว่าปีที่ผ่านมา รวมทั้งการรับจ้างผลิตโออีเอ็มและจะหันกลับมาทำตลาดแบรนด์ตัวเองจริงจังมากขึ้นคือ แบรนด์ “เคนต้า”ที่ทำมาแล้วนานกว่า 30 ปีแต่ช่วงหลังไม่เน้นสร้างแบรนด์มากนัก
ปัจจุบันถือไลเซนส์รองเท้าเด็กที่เป็นแบรนด์คาแรกเตอร์ประมาณ 10 กว่าไลเซนส์ในไทยที่ทั้งผลิตและนำเข้าจำหน่าย เช่น ดิสนีย์มิกกี้เมาส์, ดิสนีย์เบบี้, ดิสนีย์ปริ๊นเซส, ดิสนีย์คิวตี้ส์, เบนเทน, เอเลียนฟอร์ซ, เบนเทน ออมนิเวิร์ส, ทอมแอนด์เจอร์รี่, แองกรี้เบิร์ด สเปซ ซึ่งไลเซนส์นี้เพิ่งได้ล่าสุดเมื่อปีที่แล้ว เป็นต้น ได้รับการตอบรับอย่างดีจากตลาด ซึ่งทั้งหมดนี้เป็นรองเท้าเด็ก และภายในสิ้นปีนี้จะได้ไลเซนส์เพิ่มอีกคือ “สไปเดอร์แมน”
ส่วนอินเตอร์แบรนด์นั้นเพิ่งเริ่มปีนี้กับแบรนด์แรกคือ นำเข้าแบรนด์ “บีบี้” จากบราซิลเป็นรองเท้าเพื่อสุขภาพสำหรับเด็กมาจำหน่ายระดับราคา 1,495-2,395 บาท ต่อไปจะเริ่มนำเข้าแบรนด์ที่จับกลุ่มผู้ใหญ่ด้วย คาดว่า 3 ปีจากนี้จะมีอีกอย่างต่ำ 2 แบรนด์ ขณะที่รองเท้าของบริษัทเองคือแบรนด์ “เคนต้า” วางแผนจะกลับมารุกตลาดอีกครั้ง ซึ่งทั้งหมดนี้เพื่อการขยายตัวทางธุรกิจและเป็นการปรับตัวรองรับการเปิดประชาคมเศรษฐกิจอาเซียนหรือเออีซีในปี 2558 ด้วย
ทั้งนี้ การขยายธุรกิจลักษณะนี้จะทำให้บริษัทฯ มียอดขายและการเติบโตที่ดี ซึ่งที่ผ่านมาบริษัทฯ จะต้องมียอดขายเติบโตเฉลี่ย 6-7% มาตลอด แต่มีปีที่แล้วที่เติบโตน้อยมากเพียง 2% เท่านั้น เนื่องจากว่าปัจจัยทางสภาพแวดล้อมทั้งการเมือง เศรษฐกิจไม่ค่อยดี ซึ่งถือเป็นการตกต่ำในรอบหลายปีก็ว่าได้
อย่างไรก็ตาม จากแนวทางการดำเนินธุรกิจจากนี้จะทำให้บริษัทฯ มั่นใจว่ายอดขายรวมปีนี้จะเติบโตที่ 12% หรือมียอดขายรวม 700 ล้านบาท จากปีที่แล้วที่ยอดขาย 620 ล้านบาท สัดส่วนรายได้มาจากรองเท้านำเข้า 55% และที่เหลือคือรองเท้าที่ผลิตในไทย 45% แบ่งเป็นรองเท้าเด็ก 80% และรองเท้าผู้ใหญ่ 20%
สำหรับแผนการทำตลาดแบรนด์ “บีบี้” ที่เป็นรองเท้าสุขภาพสำหรับเด็กจากบราซิลนี้ ตั้งเป้ายอดขาย 6 เดือนแรกปีนี้ไว้ที่ 50 ล้านบาท เริ่มวางจำหน่ายเป็นทางการเมื่อวันที่ 20 เมษายนที่ผ่านมา ที่ 10 สาขาก่อนตามห้างหลัก เช่น ดิเอ็มโพเรียม สยามพารากอน เซ็นทรัลเวิลด์ เซ็นทรัลชิดลม เซ็นทรัลบางนา เดอะมอลล์บางกะปิ เป็นต้น รวมกว่า 10 จุด และคาดว่าอีก 2 ปีจะขยายครบห้างชั้นที่ 32 จุดที่เรามีเอาต์เลตอยู่แล้ว รวมทั้งเตรียมที่จะเปิดร้านแฟลกชิพสโตร์ของ “บีบี้” โดยเฉพาะด้วย
ราคาของ “บีบี้” ในไทยจะถูกกว่าที่ฮ่องกง สิงคโปร์ด้วย เพราะบริษัทแม่ช่วยด้านราคา ซึ่งปกติแล้วราคาในไทยจะต้องแพงกว่าเพราะเรามีภาษีด้วย จึงมั่นใจว่าเราจะทำตลาดได้ดีและในตลาดรวมแทบจะไม่มีคู่แข่งรองเท้าเด็กเพื่อสุขภาพเลย
โดยตลาดรวมรองเท้าเด็กผ่านช่องทางห้างสรรพสินค้าในไทยมีมูลค่า 2,500 ล้านบาท เป็นกลุ่มพรีเมียมประมาณ 20% และระดับแมส 80% ที่ผ่านมาตลาดแมสเติบโตดี เราเองก็มีการทำตลาดรองเท้าระดับราคาต่ำด้วยเพื่อให้มียอดขายในภาวะที่เศรษฐกิจและกำลังซื้อไม่ค่อยดี
นายอรรถวุฒ สิริมนตาภรณ์ กรรมการผู้จัดการ บริษัท โซว กรุ๊ป อินเตอร์เนชั่นแนล จำกัด ผู้ผลิตและนำเข้ารองเท้าจากต่างประเทศ เปิดเผยว่า บริษัทฯ วางนโยบายการรุกธุรกิจจากนี้ไปจะเน้นการทำตลาดนำเข้ารองเท้าที่เป็นอินเตอร์แบรนด์จากต่างประเทศมากขึ้น จากเดิมที่เน้นไปที่การซื้อไลเซนส์แบรนด์คาแรกเตอร์มาทำตลาดประมาณ 10 กว่าปีที่ผ่านมา รวมทั้งการรับจ้างผลิตโออีเอ็มและจะหันกลับมาทำตลาดแบรนด์ตัวเองจริงจังมากขึ้นคือ แบรนด์ “เคนต้า”ที่ทำมาแล้วนานกว่า 30 ปีแต่ช่วงหลังไม่เน้นสร้างแบรนด์มากนัก
ปัจจุบันถือไลเซนส์รองเท้าเด็กที่เป็นแบรนด์คาแรกเตอร์ประมาณ 10 กว่าไลเซนส์ในไทยที่ทั้งผลิตและนำเข้าจำหน่าย เช่น ดิสนีย์มิกกี้เมาส์, ดิสนีย์เบบี้, ดิสนีย์ปริ๊นเซส, ดิสนีย์คิวตี้ส์, เบนเทน, เอเลียนฟอร์ซ, เบนเทน ออมนิเวิร์ส, ทอมแอนด์เจอร์รี่, แองกรี้เบิร์ด สเปซ ซึ่งไลเซนส์นี้เพิ่งได้ล่าสุดเมื่อปีที่แล้ว เป็นต้น ได้รับการตอบรับอย่างดีจากตลาด ซึ่งทั้งหมดนี้เป็นรองเท้าเด็ก และภายในสิ้นปีนี้จะได้ไลเซนส์เพิ่มอีกคือ “สไปเดอร์แมน”
ส่วนอินเตอร์แบรนด์นั้นเพิ่งเริ่มปีนี้กับแบรนด์แรกคือ นำเข้าแบรนด์ “บีบี้” จากบราซิลเป็นรองเท้าเพื่อสุขภาพสำหรับเด็กมาจำหน่ายระดับราคา 1,495-2,395 บาท ต่อไปจะเริ่มนำเข้าแบรนด์ที่จับกลุ่มผู้ใหญ่ด้วย คาดว่า 3 ปีจากนี้จะมีอีกอย่างต่ำ 2 แบรนด์ ขณะที่รองเท้าของบริษัทเองคือแบรนด์ “เคนต้า” วางแผนจะกลับมารุกตลาดอีกครั้ง ซึ่งทั้งหมดนี้เพื่อการขยายตัวทางธุรกิจและเป็นการปรับตัวรองรับการเปิดประชาคมเศรษฐกิจอาเซียนหรือเออีซีในปี 2558 ด้วย
ทั้งนี้ การขยายธุรกิจลักษณะนี้จะทำให้บริษัทฯ มียอดขายและการเติบโตที่ดี ซึ่งที่ผ่านมาบริษัทฯ จะต้องมียอดขายเติบโตเฉลี่ย 6-7% มาตลอด แต่มีปีที่แล้วที่เติบโตน้อยมากเพียง 2% เท่านั้น เนื่องจากว่าปัจจัยทางสภาพแวดล้อมทั้งการเมือง เศรษฐกิจไม่ค่อยดี ซึ่งถือเป็นการตกต่ำในรอบหลายปีก็ว่าได้
อย่างไรก็ตาม จากแนวทางการดำเนินธุรกิจจากนี้จะทำให้บริษัทฯ มั่นใจว่ายอดขายรวมปีนี้จะเติบโตที่ 12% หรือมียอดขายรวม 700 ล้านบาท จากปีที่แล้วที่ยอดขาย 620 ล้านบาท สัดส่วนรายได้มาจากรองเท้านำเข้า 55% และที่เหลือคือรองเท้าที่ผลิตในไทย 45% แบ่งเป็นรองเท้าเด็ก 80% และรองเท้าผู้ใหญ่ 20%
สำหรับแผนการทำตลาดแบรนด์ “บีบี้” ที่เป็นรองเท้าสุขภาพสำหรับเด็กจากบราซิลนี้ ตั้งเป้ายอดขาย 6 เดือนแรกปีนี้ไว้ที่ 50 ล้านบาท เริ่มวางจำหน่ายเป็นทางการเมื่อวันที่ 20 เมษายนที่ผ่านมา ที่ 10 สาขาก่อนตามห้างหลัก เช่น ดิเอ็มโพเรียม สยามพารากอน เซ็นทรัลเวิลด์ เซ็นทรัลชิดลม เซ็นทรัลบางนา เดอะมอลล์บางกะปิ เป็นต้น รวมกว่า 10 จุด และคาดว่าอีก 2 ปีจะขยายครบห้างชั้นที่ 32 จุดที่เรามีเอาต์เลตอยู่แล้ว รวมทั้งเตรียมที่จะเปิดร้านแฟลกชิพสโตร์ของ “บีบี้” โดยเฉพาะด้วย
ราคาของ “บีบี้” ในไทยจะถูกกว่าที่ฮ่องกง สิงคโปร์ด้วย เพราะบริษัทแม่ช่วยด้านราคา ซึ่งปกติแล้วราคาในไทยจะต้องแพงกว่าเพราะเรามีภาษีด้วย จึงมั่นใจว่าเราจะทำตลาดได้ดีและในตลาดรวมแทบจะไม่มีคู่แข่งรองเท้าเด็กเพื่อสุขภาพเลย
โดยตลาดรวมรองเท้าเด็กผ่านช่องทางห้างสรรพสินค้าในไทยมีมูลค่า 2,500 ล้านบาท เป็นกลุ่มพรีเมียมประมาณ 20% และระดับแมส 80% ที่ผ่านมาตลาดแมสเติบโตดี เราเองก็มีการทำตลาดรองเท้าระดับราคาต่ำด้วยเพื่อให้มียอดขายในภาวะที่เศรษฐกิจและกำลังซื้อไม่ค่อยดี
