ชี้ปัจจัยสำคัญมาจากจำนวนผู้เข้าถึงอินเทอร์เน็ตครั้งแรกผ่านทางโทรศัพท์มือถือมีจำนวนเพิ่มมากขึ้น ส่งผลให้บริการทางการชอปปิ้งออนไลน์มีแนวโน้มดีขึ้น ระบุ "โมบายล์แชต" และ "โซเชียลมีเดีย" จะเป็นช่องทางสำคัญช่วยร้านค้าเพิ่มยอดขาย ทำให้การค้าออนไลน์กับคนเฉพาะกลุ่มจะมีมากขึ้น ส่งผลให้สินค้าดิจิตอลจะขายดีเป็นเทน้ำเทท่า โดยการแข่งขันทางราคาจะเป็นทางเลือกให้ลูกค้ามากขึ้น
นายภาวุธ พงษ์วิทยภานุ กรรมการผู้จัดการ และผู้ก่อตั้ง “ราคูเท็นตลาดดอทคอม” คาดการณ์ถึงตลาดอีคอมเมิร์ซไทยในปี พ.ศ.2557 ว่า เป็นปีที่น่าจับตามากเป็นอย่างยิ่งสำหรับวงการอีคอมเมิร์ซของไทย สังเกตได้จากจำนวนผู้เข้าถึงอินเทอร์เน็ตเป็นครั้งแรกผ่านทางโทรศัพท์มือถือมีจำนวนเพิ่มมากขึ้น ส่งผลให้บริการทางการชอปปิ้งออนไลน์มีแนวโน้มดีขึ้น ธุรกิจขนาดเล็กและขนาดใหญ่ก็เข้าถึงอีคอมเมิร์ซมากยิ่งขึ้น
นายภาวุธ ในฐานะผู้บุกเบิกของวงการอีคอมเมิร์ซในประเทศไทย ผู้ซึ่งเห็นการพัฒนาของอุตสาหกรรมอีคอมเมิร์ซไทยมาอย่างยาวนานได้แชร์มุมมองเกี่ยวกับแนวโน้มที่เป็นกุญแจสำคัญสำหรับอีคอมเมิร์ซในประเทศไทยในปี พ.ศ.2557 ดังนี้
1.การค้าผ่านมือถือจะเติบโตสูงมาก (M-Commerce)
ยอดขายสมาร์ทโฟนคิดเป็นครึ่งหนึ่งของยอดขายโทรศัพท์มือถือในประเทศไทยจากปีที่ผ่านมา และมีแนวโน้มว่าจะดำเนินต่อไปในปี พ.ศ.2557 โดยปีนี้จะเป็นปีที่โทรศัพท์มือถือกลายเป็นช่องทางหลักของการเข้าถึงอินเทอร์เน็ตของผู้คน “ราคูเท็นตลาดดอทคอม” พบว่าการขายสินค้าผ่านทางมือถือเติบโตขึ้นถึง 158% แสดงให้เห็นว่าคนไทยเริ่มคุ้นเคยกับการใช้โทรศัพท์มือถือในการชอปปิ้งออนไลน์มากขึ้น นอกเหนือไปจากการใช้เพื่อติดตามข่าวสารเพียงอย่างเดียว
2.โมบายล์แชตและโซเชียลมีเดียจะเป็นช่องทางในการช่วยร้านค้าเพื่อเพิ่มยอดขาย (Mobiel Chat & Social Media)
โมบายล์แชต หรือการส่งข้อความผ่านแอปพลิเคชันทางมือถือกำลังได้รับความนิยมในหมู่คนไทยเป็นอย่างมาก โดยเฉพาะแอปพลิเคชัน LINE ที่พบว่ามีจำนวนผู้ใช้ถึง 20 ล้านคน บันทึกเมื่อสิ้นปี พ.ศ.2556 และในเดือนธันวาคมปีที่ผ่านมานั้น “ราคูเท็นตลาดดอทคอม” ได้เปิดตัว Official Account ผ่านแอปพลิเคชัน LINE เพื่อติดต่อสื่อสารโดยตรงกับนักชอป รวมไปถึงเพื่ออัปเดตและแชร์ข้อมูลของร้านค้าและโปรโมชันพิเศษต่างๆ หลังจากเปิดตัวเพียง 3 เดือน พบว่ามีจำนวนยอดผู้ติดตามถึง 6 ล้าน และเราวางแผนว่าจะใช้ช่องทางนี้ในการเพิ่มยอดขายให้ร้านค้าของเราในปี พ.ศ.2557
3.จำนวนผู้แข่งขันในตลาดเพิ่มขึ้น
ในขณะนี้การแข่งขันในตลาดอีคอมเมิร์ซของไทยสูงขึ้น เนื่องจากจำนวนคู่แข่งในตลาดไม่ว่าจะเป็นคู่แข่งต่างชาติ หรือคู่แข่งในไทยต่างก็อยากที่จะสร้างแพลตฟอร์มในไทยกันทั้งสิ้น ดังนั้นผู้ประกอบธุรกิจจึงต้องทำงานหนักขึ้นเพื่อที่จะให้บริการแก่นักชอปได้อย่างดีกว่าเจ้าอื่นๆ ในโอกาสนี้ “ราคูเท็นตลาดดอทคอม” จึงเตรียมพร้อมที่จะเปิดตัวแพลตฟอร์มใหม่ที่จะช่วยให้การทำธุรกิจของคุณง่ายดายกว่าที่ผ่านมา คราวนี้ทั้งนักชอปและร้านค้าต่างจะได้รับประโยชน์จากแพลตฟอร์มใหม่นี้แน่นอน
4.การแข่งขันทางราคาจะเป็นทางเลือกให้ลูกค้ามากขึ้น
นักชอปทุกคนชอบที่จะชอปปิ้งสินค้าที่ราคาถูกที่สุด เว็บไซต์เปรียบเทียบราคาทั้งหลายจึงคอยช่วยเหลือนักชอปในการค้นหาข้อเสนอที่มีราคาที่ดีที่สุดมาให้ ไม่ว่าจะเป็นเว็บไซต์ www.attackprice.com หรือ www.priceza.com ต่างก็ช่วยนักชอปเฟ้นหาร้านค้าที่มีราคาดีที่สุดเช่นกัน และแน่นอน คุณจะพบร้านค้าของราคูเท็นตลาดดอทคอมในเว็บไซต์เปรียบเทียบราคาเหล่านี้แน่นอน!
5.การค้าออนไลน์กับคนเฉพาะกลุ่มจะมีมากขึ้น (Vertical E-Commerce)
การขายออนไลน์กำลังเติบโตขึ้นอย่างมาก จึงทำให้เกิดการค้าขายกับตลาดและกลุ่มเป้าหมายเฉพาะกลุ่มมากขึ้น โดยเฉพาะในโลกออนไลน์ เพราะต้นทุนที่ต่ำกว่าแต่สามารถเข้าถึงกลุ่มเป้าหมายเฉพาะได้เป็นอย่างดี “ราคูเท็นตลาดดอทคอม” พบว่าจำนวนตัวเลขของผู้ประกอบการเพิ่มมากขึ้น 46%โดยมีความหลากหลายของประเภทสินค้ามากขึ้น วงการอีคอมเมิร์ซไทยยังคงเติบโตได้เป็นอย่างดี โดยเฉพาะอย่างยิ่งหมวดสินค้าและผลิตภัณฑ์เพื่อแม่และเด็ก ร้านสัตว์เลี้ยง เครื่องมื่อเครื่องใช้ในครัว และสินค้าสำหรับกลุ่มชายรักชายเป็นต้น
6.สินค้าดิจิตอลจะขายดีเป็นเทน้ำเทท่า (Digital Content)
สินค้าดิจิตอลประเภทซอฟต์แวร์, แอปพลิเคชัน, e-book หรือบริการทางออนไลน์ต่างๆ จะขายดีมากขึ้นในปีนี้ เห็นได้ชัดว่าคนไทยนิยมซื้อสินค้าประเภทดิจิตอลอยู่แล้ว แต่หากพิจารณาให้ดีจะพบว่าสินค้าประเภทนี้ส่วนใหญ่จะเป็นของต่างประเทศ ดังนั้นจึงเป็นโอกาสให้คนที่จะทำสินค้าประเภทนี้มาขาย ซึ่งข้อดีคือการขายสินค้าประเภทดิจิตอลจะไม่มีค่าส่งสินค้า และไม่ต้องกังวลเรื่องการสต็อกสินค้า เมื่อลูกค้าจ่ายเงินเราสามารถส่งมอบได้ทันที และยังสามารถขายได้ทั่วโลกอีกด้วย
7.การตลาดออนไลน์จะฉลาดเป็นกรดมากขึ้น (Advance Online Marketing)
การตลาดออนไลน์ช่วยให้ร้านค้าเข้าใจลูกค้าดีขึ้น อีกทั้งจะช่วยให้ร้านค้ารู้ว่าควรใช้กลยุทธ์ไหนในการเจาะกลุ่มเป้าหมายให้ตรงจุด นอกจากนี้ยังช่วยในการลดงบประมาณการตลาดและช่วยเพิ่มยอดขายให้แก่ร้านค้าอีกด้วย เทคนิคการตลาดออนไลน์ก็อย่างเช่น การตลาดแบบติดตามลูกค้าซ้ำและย้ำอีกครั้ง (Re-Targeting) ที่จะติดตามลูกค้าไปทุกที่ เพื่อปิดการขายให้ได้ หรือจะเป็นการตลาดแบบเจาะกลุ่มเป้าหมายแบบเฉพาะเจาะจง (Targeted Marketing) ที่สามารถเลือกกลุ่มเป้าหมายของลูกค้าของคุณได้ อีกทั้งยังช่วยเพิ่มยอดขายให้ธุรกิจของคุณได้มากขึ้น
8.การชำระเงินผ่านออนไลน์จะเติบโตสุดๆ (Online Payment)
ความสะดวกสบายเป็นสิ่งที่ผู้บริโภคทุกคนต้องการ คนไทยหันมาใช้บริการชำระเงินผ่านช่องทางออนไลน์อย่างบัตรเครดิต หรือชำระเงินผ่านมือถือมากขึ้น ปัจจุบันการรักษาความปลอดภัยในการชำระเงินที่ดีขึ้นหมายถึงผู้คนจะได้รับความสะดวกสบายมากยิ่งขึ้นในการชำระเงินออนไลน์ อีกทั้งยังเพลิดเพลินไปกับความรวดเร็วและย่นระยะเวลาการทำธุรกรรมทางการเงินไปได้อีกด้วย นอกจากนี้ การมีช่องทางการชำระเงินออนไลน์ที่หลากหลายจะช่วยให้ลูกค้ามีทางเลือกในการชำระเงินที่เพิ่มมากขึ้น ด้วยการชำระเงินผ่านระบบธนาคาร หรือช่องทางอื่นๆ เช่น ThaiEpay.com หรือ Paysbuy.com ช่องทางเหล่านี้เองที่จะช่วยสนับสนุนให้ผู้คนหันมาชอปปิ้งผ่านอีคอมเมิร์ซมากยิ่งขึ้น
9.ระบบจัดการและส่งสินค้าครบวงจร (Fulfillment)
การจัดการกับธุรกิจที่กำลังเติบโตขึ้นเรื่อยๆ อาจะเป็นเรื่องยาก โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อยอดขายของคุณพุ่งขึ้นเรื่อยๆ แต่หากธุรกิจของคุณเติบโตขึ้นจนมียอดขายมากถึง 50-100 รายการต่อวันจะทำให้การจัดการ การบริหารสินค้า, การส่งสินค้า, การติดต่อประสานกับลูกค้าจะกลายเป็นเรื่องที่ซับซ้อนและวุ่นวายขึ้นมาก “ราคูเท็นตลาดดอทคอม” จึงมีแผนเปิดตัวระบบการจัดการแบบครบวงจรเพื่อช่วยร้านค้าในการบรรจุสินค้าและจัดส่งสินค้าให้ถึงมือนักชอปทั้งหลายอย่างง่ายดาย เพียงแค่ร้านค้านำใบสั่งซื้อจากนักชอปมาให้เราเท่านั้น เหล่าทีมงานจะคอยช่วยเหลือท่านในขั้นตอนต่อไปเอง
10.การเปลี่ยนผู้ชมเป็นผู้ซื้อ (Conversion)
สิ่งที่คนทำการค้าออนไลน์ให้ความสำคัญมากที่สุดคือ “การเปลี่ยนผู้ชม (Visitor) ให้เป็นผู้ซื้อ (Buyer) หรือเราเรียกว่า Conversion (CVR)” เพราะหากเว็บไซต์ของคุณมีคนเข้าหมื่นคนต่อวัน แต่มันจะไม่มีความหมายเท่าใดหากคนเหล่านั้นไม่ซื้อของอะไรเลย ดังนั้นอัตราการเปลี่ยนผู้ชมเป็นผู้ซื้อ (CVR) จึงเป็นสิ่งที่สำคัญมากๆ ที่ธุรกิจคุณจะต้องโฟกัส ที่ผ่านมาหลายๆ ธุรกิจไม่เคยสนใจสิ่งนี้เลย วิธีการหา CVR ง่ายๆ คือการนำยอดขาย (Order) หารกับจำนวนคนเข้าเว็บไซต์ (Visitor) โดยตัวเลขมักจะเป็นเปอร์เซ็นต์