ผู้บริหาร SPCG เผยบริษัทฯ ได้พัฒนาโครงการและสามารถเชื่อมโยงระบบไฟฟ้าเข้าสู่สายส่งของการไฟฟ้าส่วนภูมิภาค (กฟภ.) เพิ่มขึ้นอีก 2 โครงการ พร้อมเร่งผลักดันอีก 2 โครงการในช่วงปลาย ก.พ.นี้ ลั่นหากพัฒนาเสร็จครบทุกโครงการแล้วจะทำให้บริษัทมีรายได้จากการจำหน่ายไฟฟ้ารวมประมาณปีละไม่ต่ำกว่า 4,000 ล้านบาท
น.ส.วันดี กุญชรยาคง ประธานกรรมการ และกรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท เอสพีซีจี จำกัด (มหาชน) หรือ SPCG เปิดเผยถึงความสำเร็จของบริษัทฯ ในฐานะผู้บุกเบิกและพัฒนาโรงไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์ (Solar Farm) ว่า ในวันที่ 13 ก.พ.ที่ผ่านมาบริษัทฯ ได้พัฒนาโครงการและสามารถเชื่อมโยงระบบไฟฟ้าเข้าสู่สายส่งของการไฟฟ้าส่วนภูมิภาค (กฟภ.) เพิ่มขึ้นอีก 2 โครงการ ประกอบด้วย บริษัท โซล่า เพาเวอร์ (บุรีรัมย์ 3) จำกัด และบริษัท โซล่า เพาเวอร์ (นครพนม 3) จำกัด ขณะเดียวกันได้ดำเนินการเร่งรัดผลักดันอีก 2 โครงการเพื่อเชื่อมโยงระบบไฟฟ้าให้เสร็จสมบูรณ์พร้อมส่งกระแสไฟฟ้าเข้าสู่สายส่งของ กฟภ.ในช่วงประมาณปลายเดือนกุมภาพันธ์นี้ รวมกำลังการผลิตกว่า 30 เมกะวัตต์
น.ส.วันดี กล่าวด้วยว่า หากทั้ง 4 โครงการสามารถจำหน่ายไฟฟ้าในเชิงพาณิชย์ (Commercial Operating Date : COD) เข้าระบบสายส่งของการไฟฟ้าส่วนภูมิภาค (กฟภ.) เรียบร้อยแล้ว จะเป็นผลให้บริษัทฯ มีโครงการโซลาร์ฟาร์มที่จำหน่ายไฟฟ้าเชิงพาณิชย์แล้วรวมทั้งสิ้น 29 โครงการ รวมกำลังการผลิตประมาณ 215 เมกะวัตต์ นับว่าเป็นผลดีอย่างยิ่งต่อการสร้างความมั่นคงทางพลังงานไฟฟ้าให้แก่ประเทศ ทั้งนี้ ในการ COD ไฟฟ้าเข้าระบบสายส่งของแต่ละโครงการ บริษัทฯ จะมีรายได้เพิ่มจากการจำหน่ายไฟฟ้าประมาณ 480 ล้านบาท/ปี/โครงการ
ทั้งนี้ บริษัท เอสพีซีจี จำกัด (มหาชน) เป็นผู้พัฒนาและดำเนินธุรกิจโซลาร์ฟาร์มแห่งแรกในไทยและภูมิภาคอาเซียน มีโครงการทั้งหมดจำนวน 36 โครงการ กำลังการผลิตรวมกว่า 260 เมกะวัตต์ มูลค่าการลงทุนกว่า 24,000 ล้านบาท ได้รับแอดเดอร์ 8 บาทเป็นเวลา 10 ปี ซึ่งเมื่อพัฒนาเสร็จครบทุกโครงการแล้วจะทำให้บริษัทมีรายได้จากการจำหน่ายไฟฟ้ารวมประมาณปีละไม่ต่ำกว่า 4,000 ล้านบาท จากกำลังการผลิตติดตั้งรวมประมาณ 260 เมกะวัตต์