“ซูรูฮะ” ญี่ปุ่น ใช้ไทยเป็นฐานรุกตลาดค้าปลีกยา สุขภาพ ความงามในอาเซียน ใช้จุดแข็งสหพัฒน์ผู้ร่วมทุนสยายปีก หลังจากในไทยไปได้สวย ลั่นแผนระยะกลาง 100 สาขาในไทย ปีหน้าหวังรายได้ 800 ล้านบาท
นางสาวเบญจมาศ ต้องประสิทธิ์ กรรมการบริหาร บริษัท ซูรูฮะ (ประเทศไทย) จำกัด ซึ่งเป็นบริษัทร่วมทุนระหว่างกลุ่มสหพัฒน์กับซูรูฮะญี่ปุ่น เพื่อดำเนินธุรกิจร้านซูรูฮะซูเปอร์ดรักสโตร์ในไทย กล่าวว่า ทางกลุ่มซูรูฮะอยู่ระหว่างการศึกษาตลาดที่จะขยายธุรกิจร้านซูรูฮะเข้าไปในกลุ่มเซาท์อีสต์อาเซียน หรือกลุ่มประเทศเออีซี (ประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน) โดยใช้ไทยเป็นฐานในการรุกประเทศดังกล่าว ซึ่งในเบื้องต้นนี้สนใจประเทศเพื่อนบ้านคือ เวียดนาม กัมพูชา เมียนมาร์ โดยใช้จุดแข็งของสหพัฒน์ในการทำตลาดและการลงทุน เนื่องจากประเทศเหล่านี้มีประชากรคนรุ่นใหม่มากขึ้นสอดคล้องกับกลุ่มเป้าหมายของธุรกิจ และจะขยายสู่อินโดนีเซีย มาเลเซีย ต่อไปซึ่งเป็นตลาดที่มีศักยภาพทางการเติบโตของธุรกิจค้าปลีกด้วย
ทั้งนี้ บริษัทฯ มีความพร้อมหลังจากที่ได้ดำเนินธุรกิจในไทยมาได้ 2 ปีแล้วประสบผลสำเร็จเป็นอย่างดี รวมทั้งความแข็งแกร่งทางด้านการเงินที่ได้มีการเพิ่มทุนจดทะเบียนไปแล้วเมื่อกลางปีนี้เป็น 200 ล้านบาท จากเดิม 100 ล้านบาท ซึ่งกลุ่มเออีซีจะเป็นตลาดใหญ่ที่น่าสนใจหลังจากรวมกันเปิดเป็นเออีซีในปี 2558
การขยายตลาดเออีซีนี้จะเป็นอีกกลยุทธ์หนึ่งที่ผลักดันให้นโยบายรวมของบริษัทแม่ซูรูฮะที่ญี่ปุ่นเป็นจริงเร็วขึ้น ที่ตั้งเป้าหมายจะมีสาขาซูรูฮะ 20,000 สาขาทั่วโลกในระยะยาว จากปัจจุบันมีสาขารวมกันทั่วโลกประมาณ 1,110 สาขา โดยมีในญี่ปุ่นประมาณ 1,000 สาขาแล้ว
นางสาวเบญจมาศกล่าวต่อถึงแผนการขยายธุรกิจในไทยด้วยว่า ในปี 2557 จะมุ่งเน้นกลยุทธ์การขยายสาขาเป็นหลัก คาดว่าจะเปิดอีกประมาณ 20 สาขา โดยตั้งเป้าหมายระยะกลางจะมีสาขารวม 100 แห่งในไทยเพื่อเป็นการสร้างความแข็งแกร่งก่อนที่จะก้าวไปสู่ตลาดระดับอาเซียนที่มีประชากรรวมกว่า 600 ล้านคน ซึ่งปัจจุบันในไทยมีสาขาประมาณ 1 3 สาขาแล้ว คือ เกตเวย์เอกมัย, ดิจิตอลเกตเวย์สยามสแควร์, ซีคอนสแควร์ศรีนครินทร์, ซีคอนบางแค, ฟิวเจอร์พาร์ครังสิต, อาคารมิดทาวน์อโศก, อาคารจัสมินซิตี้, พิคคาเดลีแบงคอกสุขุมวิท 77, อาคารสาธรซิตี้ และสาขาในต่างจังหวัดที่ศูนย์การค้าเจพาร์คศรีราชา, นิคมสหพัฒน์ศรีราชา, พรอเมนาดเชียงใหม่ และแหลมทองระยองพลาซ่า ทั้งนี้ ต้องลงทุนเฉลี่ย 10-20 ล้านบาทต่อสาขา ขึ้นอยู่กับพื้นที่ที่มีตั้งแต่ 100-1,000 ตารางเมตร จากหลายโมเดลทั้งในออฟฟิศ ตอนนี้สัดส่วน 20% ในชอปปิ้งมอลล์ตอนนี้ 30% และอื่นๆเช่น ชุมชน สแตนด์อะโลน อาคารพาณิชย์ เป็นต้น
บริษัทฯ ตั้งเป้าหมายรายได้ปี 2556 (จบเดือนมีนาคม 2557) นี้ไว้ประมาณ 300 ล้านบาท และใช้งบการตลาด 5-10% ขอดยอดขาย และตั้งเป้ารายได้ปี 2557 ไว้ประมาณ 800 ล้านบาท คาดว่าจะเพิ่มส่วนแบ่งการตลาดได้อีก 5% จากเดิมที่มีส่วนแบ่งตลาด 2% จากมูลค่าตลาดรวมธุรกิจค้าปลีกดรักแอนด์เฮลท์แอนด์บิวตี้สโตร์ในไทย 20,000 ล้านบาท ซึ่งมีการแข่งขันที่รุนแรงมากขึ้น เนื่องจากมีผู้ประกอบการในตลาดมากขึ้น เช่น วัตสัน บู๊ทส์ เอ็กซต้า โอเกงกิของบริษัทเบอร์ลี่ยุคเกอร์
ทั้งนี้ จุดแข็งของซูรูฮะคือไม่เป็นแค่ร้านขายยา แต่เป็นซูเปอร์ดรักสโตร์แบบวันสตอปชอปปิ้ง มีสินค้ามากกว่า 10,000 รายการ ทั้งสินค้าสุขภาพ ความงาม ยา แบ่งสัดส่วนเป็นหมวดอาหารเสริมและยา 30% กลุ่มเครื่องสำอาง 30% อีก 40% เป็นสินค้าเบ็ดเตล็ด แยกเป็นสินค้านำเข้า 30% และสินค้าภายในประเทศซึ่งมีทั้งซัปพลายเออร์อื่นและของเครือสหพัฒน์ 70% กลุ่มเป้าหมายหลักคือ ผู้หญิงนักศึกษาและวัยทำงาน อายุ 20-40 ปี อีกทั้งยังมีบริการอื่นๆ เช่น มุมตรวจสุขภาพเบื้องต้น มุมตรวจสภาพผิวหนัง การให้คำปรึกษาด้านความงาม
นางสาวเบญจมาศ ต้องประสิทธิ์ กรรมการบริหาร บริษัท ซูรูฮะ (ประเทศไทย) จำกัด ซึ่งเป็นบริษัทร่วมทุนระหว่างกลุ่มสหพัฒน์กับซูรูฮะญี่ปุ่น เพื่อดำเนินธุรกิจร้านซูรูฮะซูเปอร์ดรักสโตร์ในไทย กล่าวว่า ทางกลุ่มซูรูฮะอยู่ระหว่างการศึกษาตลาดที่จะขยายธุรกิจร้านซูรูฮะเข้าไปในกลุ่มเซาท์อีสต์อาเซียน หรือกลุ่มประเทศเออีซี (ประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน) โดยใช้ไทยเป็นฐานในการรุกประเทศดังกล่าว ซึ่งในเบื้องต้นนี้สนใจประเทศเพื่อนบ้านคือ เวียดนาม กัมพูชา เมียนมาร์ โดยใช้จุดแข็งของสหพัฒน์ในการทำตลาดและการลงทุน เนื่องจากประเทศเหล่านี้มีประชากรคนรุ่นใหม่มากขึ้นสอดคล้องกับกลุ่มเป้าหมายของธุรกิจ และจะขยายสู่อินโดนีเซีย มาเลเซีย ต่อไปซึ่งเป็นตลาดที่มีศักยภาพทางการเติบโตของธุรกิจค้าปลีกด้วย
ทั้งนี้ บริษัทฯ มีความพร้อมหลังจากที่ได้ดำเนินธุรกิจในไทยมาได้ 2 ปีแล้วประสบผลสำเร็จเป็นอย่างดี รวมทั้งความแข็งแกร่งทางด้านการเงินที่ได้มีการเพิ่มทุนจดทะเบียนไปแล้วเมื่อกลางปีนี้เป็น 200 ล้านบาท จากเดิม 100 ล้านบาท ซึ่งกลุ่มเออีซีจะเป็นตลาดใหญ่ที่น่าสนใจหลังจากรวมกันเปิดเป็นเออีซีในปี 2558
การขยายตลาดเออีซีนี้จะเป็นอีกกลยุทธ์หนึ่งที่ผลักดันให้นโยบายรวมของบริษัทแม่ซูรูฮะที่ญี่ปุ่นเป็นจริงเร็วขึ้น ที่ตั้งเป้าหมายจะมีสาขาซูรูฮะ 20,000 สาขาทั่วโลกในระยะยาว จากปัจจุบันมีสาขารวมกันทั่วโลกประมาณ 1,110 สาขา โดยมีในญี่ปุ่นประมาณ 1,000 สาขาแล้ว
นางสาวเบญจมาศกล่าวต่อถึงแผนการขยายธุรกิจในไทยด้วยว่า ในปี 2557 จะมุ่งเน้นกลยุทธ์การขยายสาขาเป็นหลัก คาดว่าจะเปิดอีกประมาณ 20 สาขา โดยตั้งเป้าหมายระยะกลางจะมีสาขารวม 100 แห่งในไทยเพื่อเป็นการสร้างความแข็งแกร่งก่อนที่จะก้าวไปสู่ตลาดระดับอาเซียนที่มีประชากรรวมกว่า 600 ล้านคน ซึ่งปัจจุบันในไทยมีสาขาประมาณ 1 3 สาขาแล้ว คือ เกตเวย์เอกมัย, ดิจิตอลเกตเวย์สยามสแควร์, ซีคอนสแควร์ศรีนครินทร์, ซีคอนบางแค, ฟิวเจอร์พาร์ครังสิต, อาคารมิดทาวน์อโศก, อาคารจัสมินซิตี้, พิคคาเดลีแบงคอกสุขุมวิท 77, อาคารสาธรซิตี้ และสาขาในต่างจังหวัดที่ศูนย์การค้าเจพาร์คศรีราชา, นิคมสหพัฒน์ศรีราชา, พรอเมนาดเชียงใหม่ และแหลมทองระยองพลาซ่า ทั้งนี้ ต้องลงทุนเฉลี่ย 10-20 ล้านบาทต่อสาขา ขึ้นอยู่กับพื้นที่ที่มีตั้งแต่ 100-1,000 ตารางเมตร จากหลายโมเดลทั้งในออฟฟิศ ตอนนี้สัดส่วน 20% ในชอปปิ้งมอลล์ตอนนี้ 30% และอื่นๆเช่น ชุมชน สแตนด์อะโลน อาคารพาณิชย์ เป็นต้น
บริษัทฯ ตั้งเป้าหมายรายได้ปี 2556 (จบเดือนมีนาคม 2557) นี้ไว้ประมาณ 300 ล้านบาท และใช้งบการตลาด 5-10% ขอดยอดขาย และตั้งเป้ารายได้ปี 2557 ไว้ประมาณ 800 ล้านบาท คาดว่าจะเพิ่มส่วนแบ่งการตลาดได้อีก 5% จากเดิมที่มีส่วนแบ่งตลาด 2% จากมูลค่าตลาดรวมธุรกิจค้าปลีกดรักแอนด์เฮลท์แอนด์บิวตี้สโตร์ในไทย 20,000 ล้านบาท ซึ่งมีการแข่งขันที่รุนแรงมากขึ้น เนื่องจากมีผู้ประกอบการในตลาดมากขึ้น เช่น วัตสัน บู๊ทส์ เอ็กซต้า โอเกงกิของบริษัทเบอร์ลี่ยุคเกอร์
ทั้งนี้ จุดแข็งของซูรูฮะคือไม่เป็นแค่ร้านขายยา แต่เป็นซูเปอร์ดรักสโตร์แบบวันสตอปชอปปิ้ง มีสินค้ามากกว่า 10,000 รายการ ทั้งสินค้าสุขภาพ ความงาม ยา แบ่งสัดส่วนเป็นหมวดอาหารเสริมและยา 30% กลุ่มเครื่องสำอาง 30% อีก 40% เป็นสินค้าเบ็ดเตล็ด แยกเป็นสินค้านำเข้า 30% และสินค้าภายในประเทศซึ่งมีทั้งซัปพลายเออร์อื่นและของเครือสหพัฒน์ 70% กลุ่มเป้าหมายหลักคือ ผู้หญิงนักศึกษาและวัยทำงาน อายุ 20-40 ปี อีกทั้งยังมีบริการอื่นๆ เช่น มุมตรวจสุขภาพเบื้องต้น มุมตรวจสภาพผิวหนัง การให้คำปรึกษาด้านความงาม