ASTVผู้จัดการรายวัน - สมาคมฯ เยื่อและกระดาษไทยเตรียมร้องพาณิชย์ออกมาตรการเซฟการ์ดกระดาษถ่ายเอกสารนำเข้า หลังพบว่าปริมาณนำเข้าเพิ่มขึ้นถึง 600% หวั่นลามไปถึงอุตสาหกรรมกระดาษพิมพ์เขียนสร้างความเสียหายตลอดห่วงโซ่การผลิตเยื่อและกระดาษ
นายมนตรี มหาพฤกษ์พงศ์ นายกสมาคมอุตสาหกรรมเยื่อและกระดาษไทย เปิดเผยว่า ที่ประชุมสมาคมฯ เมื่อวันที่ 3 ธ.ค.ที่ผ่านมา ได้มีมติเห็นชอบให้ยื่นหนังสือเพื่อให้สำนักงานปกป้องและตอบโต้ทางการค้ากระทรวงพาณิชย์ กำหนดมาตรการปกป้องการนำเข้า (เซฟการ์ด) สินค้ากระดาษถ่ายเอกสารที่เพิ่มขึ้นตามที่ผู้ผลิตกระดาษร้องเรียน ทั้งนี้เพื่อปกป้องอุตสาหกรรมการผลิตเยื่อและกระดาษในไทย ตลอดจนถึงห่วงโซ่การผลิต (Supply Chain) เยื่อและกระดาษทั้งหมด
หลังจากพบว่าอุตสาหกรรมกระดาษได้รับผลกระทบจากการนำเข้ากระดาษจากต่างประเทศมาตลอดระยะเวลา 2-3 ปีที่ผ่านมา โดยเฉพาะอย่างยิ่งในตลาดถ่ายเอกสารที่มีการแข่งขันที่รุนแรงมาก และสมาคมฯ ได้รับการร้องเรียนจากสมาชิกซึ่งเป็นผู้ผลิตกระดาษถ่ายเอกสาร ระบุว่า การนำเข้ากระดาษถ่ายเอกสารมีปริมาณเพิ่มสูงขึ้นอย่างผิดปกติด้วยราคาการนำเข้าที่ต่ำมากอย่างต่อเนื่อง ส่งผลกระทบต่อปริมาณการขาย ปริมาณการผลิต และปริมาณสินค้าคงเหลือของผู้ผลิตกระดาษในประเทศเป็นอย่างมาก
ปัจจุบันตลาดกระดาษถ่ายเอกสารในประเทศมีปริมาณความต้องการรวมประมาณ 230,000 ตันต่อปี มูลค่าตลาดรวมประมาณ 10,000 ล้านบาท เดิมกระดาษถ่ายเอกสารมีปริมาณนำเข้าประมาณ 1,000 ตันต่อเดือน แต่ปัจจุบันได้เพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็วเป็นจำนวนเฉลี่ยประมาณ 4,000 ตันต่อเดือน และเคยสูงสุดถึง 6,000 ตันต่อเดือน ซึ่งคิดเป็นอัตราการเพิ่มขึ้นถึง 600%
ขณะที่ปริมาณความต้องการกระดาษถ่ายเอกสารอยู่ที่ประมาณ 19,000 ตันต่อเดือน หรือหากคิดเป็นส่วนแบ่งการตลาดของสินค้านำเข้าแล้วจะพบว่าจากเดิมมีส่วนแบ่ง 5% ได้เพิ่มขึ้นสูงสุดถึง 30%
นายมนตรีกล่าวต่อไปว่า สาเหตุสำคัญที่ทำให้กระดาษถ่ายเอกสารนำเข้ามาในไทยจำนวนมากส่วนใหญ่เป็นกระดาษถ่ายเอกสารที่มีกำลังการผลิตเกินปริมาณความต้องการและการถูกกีดกันทางการค้าจากประเทศอื่นๆ เช่น การฟ้อง Anti-Dumping ของประเทศออสเตรเลีย และภาษีนำเข้ากระดาษของไทยอยู่ที่อัตรา 0% ขณะที่ประเทศอื่นๆ ในอาเซียนยังมีการเก็บภาษีนำเข้ากระดาษถ่ายเอกสารอยู่ที่ประมาณ 3-20% ทำให้ปริมาณการผลิตส่วนเกินส่งออกมายังประเทศไทยเป็นจำนวนมาก
ดังนั้น หากปล่อยให้สถานการณ์การนำเข้ากระดาษถ่ายเอกสารเป็นเช่นนี้ต่อไป จะส่งผลให้ผู้ผลิตกระดาษในประเทศไม่สามารถอยู่รอดต่อไปได้ และย่อมส่งผลกระทบต่อห่วงโซ่อุปทานของอุตสาหกรรมฯ ทั้งในระดับต้นน้ำและระดับปลายน้ำ เริ่มตั้งแต่การปลูกไม้ที่สามารถสร้างรายได้ให้แก่เกษตรกรผู้ปลูกยูคาลิปตัสประมาณ 158,000 ครัวเรือน การผลิตเยื่อกระดาษ กระดาษถ่ายเอกสาร ตลอดถึงการจ้างงานและรายได้จากการขนส่ง
นอกจากนี้ หากรัฐบาลไม่มีการดำเนินการใดๆ เป็นไปได้ว่าการแข่งขันจะรุนแรงเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ และอาจส่งผลกระทบต่ออุตสาหกรรมกระดาษพิมพ์เขียนในภาพรวมซึ่งมีมูลค่าประมาณ 30,000 ล้านบาท
“สมาคมอุตสาหกรรมเยื่อและกระดาษไทยจึงได้หารือกับกลุ่มต่างๆ ภายในสภาอุตสาหกรรมที่เกี่ยวข้องกับห่วงโซ่อุปทาน และมีมติสมาคมฯ ให้นำเสนอและยื่นหนังสือคำร้องต่อรัฐบาลผ่านทางสำนักปกป้องและตอบโต้ทางการค้า กระทรวงพาณิชย์ เพื่อให้ช่วยดำเนินการเรื่องมาตรการปกป้องจากการนำเข้าสินค้ากระดาษถ่ายเอกสารที่เพิ่มขึ้น ส่วนผลการพิจารณาจะเป็นอย่างไรนั้น ขึ้นอยู่กับการพิจารณาดำเนินการตามขั้นตอนและมาตรการของภาครัฐต่อไป” นายมนตรีกล่าว