“กันตนา” กางแผนลุย ทุ่ม 1,500 ล้านบาทรุกธุรกิจภาพยนตร์ใน 3-5 ปี ขึ้นแท่นผู้นำในเอเชียรับตลาดเออีซี มั่นใจรายได้ทะลุ 3,000 ล้านบาท ส่วนปีนี้คาดปิดรายได้ที่ 500 ล้านบาท คิดเป็น 30% ของรายได้รวมกันตนาที่มั่นใจว่าจะปิดที่ 2,000 ล้านบาท โตขึ้น 10%
นายจาฤก กัลย์จาฤก ประธานกรรมการบริหาร บริษัท กันตนา กรุ๊ป จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า ปัจจุบันกันตนาแบ่งธุรกิจออกเป็น 5 กลุ่ม คือ 1. โทรทัศน์ 2. ภาพยนตร์ 3. เอดูเคชัน 4. เกม และ 5. โรงภาพยนตร์ชุมชน โดยหลังจากนี้จะให้ความสำคัญต่อธุรกิจภาพยนตร์เป็นหลัก หลังจากที่สถานการณ์อุตสาหกรรมภาพยนตร์โลกเปลี่ยนผ่านจากระบบฟิล์มมาเป็นระบบดิจิตอล และทางบริษัทได้เตรียมรับมือมาก่อนหน้านี้แล้วเพื่อเข้าสู่ยุคฟูลดิจิตอลแพลตฟอร์ม และครบวงจรอันดับหนึ่งในภูมิภาคเอเชีย รับตลาดเออีซีที่กำลังจะเกิดขึ้นด้วย
อย่างไรก็ตาม จะเห็นได้ว่าสถานการณ์การเปลี่ยนผ่านของระบบฟิล์มสู่ดิจิตอลส่งผลให้ต้นทุนในการผลิตและการขนส่งภาพยนตร์ทั่วโลกลดลง ก่อให้เกิดการผลิตภาพยนตร์มากยิ่งขึ้น และส่งภาพยนตร์ข้ามไปฉายในประเทศต่างๆ เพิ่มขึ้นด้วย โอกาสของผู้ผลิตภาพยนตร์รายเล็กมีมากขึ้น โดยในเอเชียก็มีทิศทางไปในทางเดียวกัน ธุรกิจที่เกี่ยวข้องกับภาพยนตร์จะมีโอกาสเติบโตมากด้วยเช่นกัน ถือเป็นโอกาสทางธุรกิจของกันตนาที่จะก้าวขึ้นเป็นผู้นำธุรกิจภาพยนตร์ในเอเชียได้อย่างถาวร
ดังนั้นบริษัทจึงมีแผนการขยายธุรกิจภาพยนตร์ไปประเทศกลุ่มเออีซี+3 ประเทศในเอเชีย ทั้งจีน ญี่ปุ่น และเกาหลี มากยิ่งขึ้น หากประเทศไหนมีศักยภาพก็พร้อมจะเข้าไปลงทุนให้มากที่สุดที่จะเป็นไปได้ ซึ่งจะมีทั้งการเข้าไปลงทุนเอง และการร่วมทุน ภายใต้จุดแข็ง 3 ข้อ คือ 1. บุคลากรที่มีประสบการณ์และความเชี่ยวชาญ 2. ประสบการณ์ที่มีมายาวนานเท่าฮอลลีวูด 3. การตลาดที่แข็งแกร่ง ขณะที่ประเทศในเออีซีที่มองว่ามีศักยภาพเข้าไปลงทุนหลังจากนี้ ได้แก่ อินโดนีเซีย เวียดนาม พม่า และฟิลิปปินส์ ขึ้นอยู่กับสภาพเศรษฐกิจ และจำนวนประชากรเป็นหลัก โดยเวียดนามได้เริ่มเข้าไปทำตลาดบ้างแล้ว และปัจจุบันมีส่วนแบ่งตลาดในกลุ่มโฆษณา 60% และภาพยนตร์ 30%
ด้านนายสุรเชษฐ์ อัศวเรืองอนันต์ ประธานบริหารสายธุรกิจภาพยนตร์ บริษัท กันตนา กรุ๊ป จำกัด (มหาชน) กล่าวเสริมว่า ในส่วนของธุรกิจภาพยนตร์นั้น มีบริษัทในกลุ่มกว่า 14 บริษัทใน 3 กลุ่มหลัก คือ 1. สร้างคอนเทนต์ 2. โปรดักต์ และ 3. จัดจำหน่าย ครอบคลุมธุรกิจภาพยนตร์ตั้งแต่ต้นน้ำไปจนถึงปลายน้ำ โดยแผนการดำเนินธุรกิจภาพยนตร์ในช่วง 3-5 ปีหลังจากนี้คาดว่าจะต้องใช้เม็ดเงินไม่ต่ำกว่า 1,500 ล้านบาท แบ่งเป็น 1,000 ล้านบาทสำหรับการเปิดตัวโรงภาพยนตร์ชุมชนทั้งในไทยและต่างประเทศ และอีก 500 ล้านบาทสำหรับการซื้อเครื่องมือในธุรกิจภาพยนตร์เพิ่มเติม รวมถึงการเข้าไปลงทุนในประเทศต่างๆ
ทั้งนี้ มองว่าภายใน 5 ปีกลุ่มธุรกิจภาพยนตร์จะมีรายได้เพิ่มเป็น 3,000 ล้านบาท แบ่งเป็น 50% มาจากในประเทศ และอีก 50% มาจากเออีซีและต่างประเทศรวมกัน จากปัจจุบันที่มองว่าถึงสิ้นปีนี้กลุ่มธุรกิจภาพยนตร์จะมีรายได้ที่ 500 ล้านบาท คิดเป็น 30% ของรายได้รวมกันตนาทั้งหมดที่น่าจะปิดรายได้ที่ 2,000 ล้านบาท เติบโตขึ้น 10% ซึ่งกลุ่มรายได้อันดับหนึ่งมาจากโทรทัศน์ รองลงมาคือกลุ่มธุรกิจภาพยนตร์