“ฮอทพอทกรุ๊ป” ชี้ธุรกิจอาหารยามนี้แข่งดุ ต้องเร่งอัดโปรโมชันราคาต่อเนื่อง ยันเป้าหมายเติบโตเดิมแน่ 20-30% ชูความได้เปรียบมีหลายแบรนด์จับตลาด พร้อมลุยตลาดค้าปลีกส่งน้ำจิ้มสุกี้ลงตลาด
นางสาวสกุณา บ่ายเจริญ รองประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ฮอท พอท จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า ธุรกิจร้านอาหารในปัจจุบันนี้มีการแข่งขันที่รุนแรงมาก เพราะมีหลากหลายแบนด์และมีหลากหลายประเภทอาหาร ทำให้บริษัทฯ จำเป็นต้องทำการตลาดต่อเนื่อง รวมทั้งการทำโปรโมชันต่างๆ ที่มีความแปลกใหม่เพื่อกระตุ้นให้ลูกค้าเข้ามาใช้บริการเพิ่มขึ้นต่อเนื่อง
อีกทั้งบริษัทฯ มีจุดเด่นตรงที่มีร้านอาหารมากถึง 6 แบรนด์แตกต่างกันไปทำให้สามารถรองรับผู้บริโภคได้ทุกกลุ่ม ขณะเดียวกันยังมีแผนการขยายสาขาใหม่ๆ ต่อเนื่องเช่นกัน และล่าสุดได้ขยายธุรกิจด้วยการทำน้ำจิ้มสุกี้สูตรฮอทพอท บรรจุขวดจำหน่ายในช่องทางค้าปลีกคาดว่าจะเริ่มได้ปลายปีนี้ จากก่อนหน้านี้ได้เริ่มในส่วนของแบรนด์ไดโดมอนไปแล้วถึง 4 รสชาติ คือ เทอริยากิ บาร์บีคิว บาร์บีคิวโกลด์ และน้ำราดปลาซาบะ ซึ่งจะเป็นอีกหนึ่งในการสร้างรายได้
ทั้งนี้ บริษัทฯ มั่นใจว่าจากแนวทางการดำเนินธุรกิจที่วางไว้ คาดว่ารายได้รวมสิ้นปีนี้จะเติบโตประมาณ 20-30% จากรายได้รวมปีที่แล้วที่มีประมาณ 1,900 ล้านบาท ขณะที่ครึ่งปีแรกนี้รายได้รวมเติบโตแล้วประมาณ 23% ซึ่งเป็นไปตามเป้าหมาย
สำหรับแผนการขยายสาขานั้น นางสาวสกุณากล่าวว่าปีนี้ตั้งเป้าหมายเปิดสาขาใหม่ประมาณ 25 สาขา งบลงทุนประมาณ 6-8 ล้านบาทต่อสาขา คาดว่าสิ้นปีนี้จะมีสาขารวม 165 สาขา แต่มีการปิดไปบ้างแล้วกว่า 10 สาขา จากปัจจุบันมีร้านทุกแบรนด์รวมกันประมาณ 145 สาขา ประกอบด้วย ฮอทพอทอินเตอร์บุฟเฟต์, ฮอทพอทบุฟเฟต์แวลู, ฮอทพอทราเมนบุฟเฟต์, ฮอทพอทสุกี้ชาบู, ฮอทพอทเพรสทีจ และไดโดมอน ส่วนแผนปีหน้าจะเปิดเฉลี่ย 20 สาขาเช่นกัน
โดยแบรนด์ฮอทพอทเพรสทีจถือเป็นแบรนด์ระดับพรีเมียมบุฟเฟต์ มีเพียงสาขาเดียวคือที่เซ็นทรัลบางนา เพิ่งปรับปรุงใหม่ และเตรียมเปิดสาขาที่สองสำหรับโมเดลนี้ที่ศูนย์การค้าเซ็นทรัลเฟสติวัลเชียงใหม่ ซึ่งเป็นศูนย์การค้าใหม่เช่นกันในเดือน พฤศจิกายนนี้
จากสาขาปัจจุบัน แบ่งสัดส่วนร้านอยู่ในกรุงเทพฯ 45% และต่างจังหวัด 55% แต่บริษัทยังมีความเชื่อมั่นว่าตลาดในกรุงเทพฯ ยังมีโอกาสขยายได้อีกต่อเนื่อง อย่างไรก็ตาม ในส่วนของตลาดต่างประเทศนั้น ในระยะ 2-3 ปีนี้ยังไม่มีแผนที่จะขยายธุรกิจไปต่างประเทศแต่อย่างใด แต่หลังจากนั้นอาจจะมีการพิจารณากันใหม่
“ช่วงปลายปีนี้เราจะมีการออกแคมเปญการตลาดอีกอย่างน้อย 2 แคมเปญเพื่อกระตุ้นผู้บริโภคมากขึ้น เพราะยอมรับว่าตอนนี้ในภาพรวมกำลังซื้อของผู้บริโภคลดลงเช่นกัน รวมทั้งราคาวัตถุดิบก็เพิ่มสูงขึ้น เช่น ผัก โดยเฉพาะช่วงเทศกาลเจ ต้นทุนพุ่งขึ้นถึง 20% แต่เราก็ทำอะไรไม่ได้ แต่ยังโชคดีที่เรามีหลายแบรนด์ และมีการทำตลาดด้านราคาต่อเนื่องทำให้เรายังเติบโตอยู่” นางสาวสกุณากล่าว
นางสาวสกุณา บ่ายเจริญ รองประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ฮอท พอท จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า ธุรกิจร้านอาหารในปัจจุบันนี้มีการแข่งขันที่รุนแรงมาก เพราะมีหลากหลายแบนด์และมีหลากหลายประเภทอาหาร ทำให้บริษัทฯ จำเป็นต้องทำการตลาดต่อเนื่อง รวมทั้งการทำโปรโมชันต่างๆ ที่มีความแปลกใหม่เพื่อกระตุ้นให้ลูกค้าเข้ามาใช้บริการเพิ่มขึ้นต่อเนื่อง
อีกทั้งบริษัทฯ มีจุดเด่นตรงที่มีร้านอาหารมากถึง 6 แบรนด์แตกต่างกันไปทำให้สามารถรองรับผู้บริโภคได้ทุกกลุ่ม ขณะเดียวกันยังมีแผนการขยายสาขาใหม่ๆ ต่อเนื่องเช่นกัน และล่าสุดได้ขยายธุรกิจด้วยการทำน้ำจิ้มสุกี้สูตรฮอทพอท บรรจุขวดจำหน่ายในช่องทางค้าปลีกคาดว่าจะเริ่มได้ปลายปีนี้ จากก่อนหน้านี้ได้เริ่มในส่วนของแบรนด์ไดโดมอนไปแล้วถึง 4 รสชาติ คือ เทอริยากิ บาร์บีคิว บาร์บีคิวโกลด์ และน้ำราดปลาซาบะ ซึ่งจะเป็นอีกหนึ่งในการสร้างรายได้
ทั้งนี้ บริษัทฯ มั่นใจว่าจากแนวทางการดำเนินธุรกิจที่วางไว้ คาดว่ารายได้รวมสิ้นปีนี้จะเติบโตประมาณ 20-30% จากรายได้รวมปีที่แล้วที่มีประมาณ 1,900 ล้านบาท ขณะที่ครึ่งปีแรกนี้รายได้รวมเติบโตแล้วประมาณ 23% ซึ่งเป็นไปตามเป้าหมาย
สำหรับแผนการขยายสาขานั้น นางสาวสกุณากล่าวว่าปีนี้ตั้งเป้าหมายเปิดสาขาใหม่ประมาณ 25 สาขา งบลงทุนประมาณ 6-8 ล้านบาทต่อสาขา คาดว่าสิ้นปีนี้จะมีสาขารวม 165 สาขา แต่มีการปิดไปบ้างแล้วกว่า 10 สาขา จากปัจจุบันมีร้านทุกแบรนด์รวมกันประมาณ 145 สาขา ประกอบด้วย ฮอทพอทอินเตอร์บุฟเฟต์, ฮอทพอทบุฟเฟต์แวลู, ฮอทพอทราเมนบุฟเฟต์, ฮอทพอทสุกี้ชาบู, ฮอทพอทเพรสทีจ และไดโดมอน ส่วนแผนปีหน้าจะเปิดเฉลี่ย 20 สาขาเช่นกัน
โดยแบรนด์ฮอทพอทเพรสทีจถือเป็นแบรนด์ระดับพรีเมียมบุฟเฟต์ มีเพียงสาขาเดียวคือที่เซ็นทรัลบางนา เพิ่งปรับปรุงใหม่ และเตรียมเปิดสาขาที่สองสำหรับโมเดลนี้ที่ศูนย์การค้าเซ็นทรัลเฟสติวัลเชียงใหม่ ซึ่งเป็นศูนย์การค้าใหม่เช่นกันในเดือน พฤศจิกายนนี้
จากสาขาปัจจุบัน แบ่งสัดส่วนร้านอยู่ในกรุงเทพฯ 45% และต่างจังหวัด 55% แต่บริษัทยังมีความเชื่อมั่นว่าตลาดในกรุงเทพฯ ยังมีโอกาสขยายได้อีกต่อเนื่อง อย่างไรก็ตาม ในส่วนของตลาดต่างประเทศนั้น ในระยะ 2-3 ปีนี้ยังไม่มีแผนที่จะขยายธุรกิจไปต่างประเทศแต่อย่างใด แต่หลังจากนั้นอาจจะมีการพิจารณากันใหม่
“ช่วงปลายปีนี้เราจะมีการออกแคมเปญการตลาดอีกอย่างน้อย 2 แคมเปญเพื่อกระตุ้นผู้บริโภคมากขึ้น เพราะยอมรับว่าตอนนี้ในภาพรวมกำลังซื้อของผู้บริโภคลดลงเช่นกัน รวมทั้งราคาวัตถุดิบก็เพิ่มสูงขึ้น เช่น ผัก โดยเฉพาะช่วงเทศกาลเจ ต้นทุนพุ่งขึ้นถึง 20% แต่เราก็ทำอะไรไม่ได้ แต่ยังโชคดีที่เรามีหลายแบรนด์ และมีการทำตลาดด้านราคาต่อเนื่องทำให้เรายังเติบโตอยู่” นางสาวสกุณากล่าว